คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยแต่ละคนต่างละเมิดสิทธิของโจทก์โดยลำพังตนต่างหากจากกัน โดยจำเลยมิต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ เช่นนี้ โจทก์จะรวมฟ้องจำเลยทุกคนในคดีเดียวกันหาได้ไม่ โจทก์จะต้องแยกฟ้องจำเลยแต่ละคนเป็นรายสำนวนไป
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท แม้โจทก์จะรับว่า เมื่อจำเลยฟ้องระหว่างกัน เกี่ยวกับที่รายพิพาทนี้ ในคดีอื่นจำเลยก็ได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์กันก็ดี แต่ในชั้นที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ จำเลยอาจไม่โต้แย้งกรรมสิทธิกับโจทก์ก็ได้ คดีเช่นนี้ยังไม่ควรให้โจทก์ตีราคาทุนทรัพย์และเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ในขณะรับฟ้อง ควรรอฟังจำเลยให้การเสียก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับมอบสิทธิการครอบครองที่ดินจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์จำเลยที่ ๑, ๓ และ ๔ ต่างคนต่างบุกรุกที่ดินรายนี้คนละคราวแยกต่างหากจากกัน คนละวันเดือนปีห่างกัน จำเลยที่ ๑ ได้กล่าวอ้างสิทธิเป็นเจ้าของในที่ดินนี้ จำเลยที่ ๑ เคยฟ้องจำเลยที่ ๒ สำนวนหนึ่ง และเคยฟ้องจำเลยที่ ๓ – ๔ อีกสำนวนหนึ่ง หาว่าบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ จึงขอให้พิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิหรือกล่าวอ้างสิทธิต่อที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่ต่อไป และบังคับห้ามไม่ให้จำเลยที่ ๑ – ๒ – ๓ และ ๔ มาเกี่ยวข้องกับที่ดิน กับให้จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป
ศาลจังหวัดนครสวรรค์ตรวจฟ้องแล้วสั่ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง ๔ คนได้สมคบกันบุกรุกที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ จึงต้องแยกฟ้องเป็นรายบุคคล นอกจากนั้นยังปรากฏตามสำนวน ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต่างคนต่างโต้แย้งกรรมสิทธิกัน โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ให้ตีราคาที่ดิน ให้โจทก์จัดการเสียให้ถูกต้องก่อนภายใน ๓ วัน
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยทุกคนในคดีเดียวกันได้ ไม่ควรต้องแยกฟ้อง และยังไม่ควรตีราคาเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์
ศาลจังหวัดนครสวรรค์สั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา เพราะโจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตาม ที่ศาลสั่ง ให้จำหน่ายคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า
(๑) โจทก์ควรมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้ง ๔ สำนวนเดียวกันได้ เพราะในการที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องจำเลยที่ ๒ สำนวนหนึ่ง และฟ้องจำเลยที่ ๓ – ๔ อีกสำนวนหนึ่งนั้น จำเลยทั้ง ๔ ต่างอ้างกรรมสิทธิยันซึ่งกันและกัน ในหมู่จำเลย กล่าวได้ว่าจำเลยทั้ง ๔ คน ได้กระทำการร่วมกันอยู่ในตัว และการรวมฟ้องจำเลยในสำนวนเดียวกัน จะเป็นการสดวกแก่การพิจารณา
(๒) ศาลยังไม่ควรให้โจทก์ตีราคาทุนทรัพย์และเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทุนทรัพย์ในขณะนี้ เพราะเมื่อจำเลยให้การในคดีนี้ จำเลยอาจไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์ก็ได้
ในฎีกา ข้อ (๑) ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องและฎีกาโจทก์อ้างว่า จำเลยแต่ละคน ต่างละเมิดสิทธิของโจทก์โดยลำพังตนต่างหากจากกัน จำเลยมิต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะรวมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะรวมฟ้องจำเลยเหล่านั้น ในคดีเดียวกันได้ และเห็นว่าเมื่อจำเลยต่างให้การต่อสู้คดีตามสิทธิของตนซึ่งมีอยู่ต่างกัน หากพิจารณารวมกันจะไม่เป็นการสดวก เพราะการสืบพยานหลักฐานของจำเลยแต่ละคน ย่อมไม่เกี่ยวข้องถึงกัน ซึ่งจะทำให้เป็นการยุ่งยาก ไม่สดวกและเสียเวลา
ฎีกาข้อ (๒) ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นแต่ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท แม้โจทก์จะรับว่าเมื่อจำเลยฟ้องระหว่างกัน เกี่ยวกับที่รายพิพาทนี้ในคดีอื่น จำเลยจะได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์กันก็ดี แต่ในชั้นที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ จำเลยอาจไม่ได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์กับโจทก์ก็ได้ ่จึงเห็นว่ายังไม่ควรให้โจทก์ตีราคาทุนทรัพย์และเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ในขณะนี้ ควรรอฟังจำเลยให้การเสียก่อน
อย่างไรก็ดี คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดี เพราะโจทก์ไม่ทำคำฟ้องมายื่นใหม่และตีราคาที่ดินเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ตามคำสั่งศาลและศาลอุทธรร์พิพากษายืนแม้ศาลฎีกาจะไม่เป็นด้วยกับที่ศาลชั้นต้นสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ แต่ก็ยังคงเหลือเหตุที่โจทก์ไม่แยกคำฟ้องอยู่ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนกับให้จำหน่ายคดีโจทก์ จึงยังไม่มีเหตุจะแก้ไข ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share