แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทตีใช้หนี้ไม่สมบูรณ์ เพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่เป็นโมฆะ จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทรวมทั้งสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์ เป็นการแสดงเจตนาโอนการครอบครองให้โจทก์แล้ว จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อมาก็โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ โจทก์มีบุคคลสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยออกไปจากตึกพิพาทที่โจทก์มีสิทธิครอบครองได้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของวัดเทพศิรินทราวาส จำเลยทั้งสองได้ขออาศัยอยู่ในตึกแถวดังกล่าวเพียงวันที่ 30เมษายน 2515 เมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากตึกแถวโจทก์ได้เตือนให้จำเลยออกไปจากตึกแถวหลายครั้ง และได้ให้ทนายความมีหนังสือเตือนไปด้วย ทำให้โจทก์เสียหายเดือนละ 2,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ตึกแถวดังกล่าวเป็นของนายกมล เปล่งวานิชสามีจำเลยที่ 1 และเป็นบิดาจำเลยที่ 2 สร้างบนที่ดินเช่าจากวัดเทพศิรินทราวาสมีกำหนด 10 ปี จะครบกำหนดสัญญาเช่าใน พ.ศ. 2517 หลังจากนั้นตึกจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัด นายกมลถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2512 จำเลยที่ 1 รับมรดกตึกแถวทั้งสามห้องและได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อจากนายกมลแล้ว จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยและประกอบการค้าในตึกแถวที่กล่าวมาจนทุกวันนี้ จำเลยไม่เคยขออาศัยโจทก์ ตึกพิพาทได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 200 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ยืมเงินโจทก์แล้วโอนตึกพิพาทและสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์เป็นการใช้หนี้ จำเลยขออาศัยอยู่ในตึกพิพาทชั่วระยะเวลาหนึ่งบัดนี้โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไป และได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้วพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากตึกพิพาทและร่วมกันใช้ค่าเสียหายจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากตึกพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนตึกพิพาทให้โจทก์ แม้จะอนุมานว่าจำเลยที่ 1 โอนตึกพิพาทให้โจทก์ การได้ตึกพิพาทโดยนิติกรรมนั้นก็ไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรรมสิทธิ์ในตึกพิพาทคงเป็นของจำเลยอยู่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า นายกมลสามีจำเลยที่ 1 เป็นบิดาจำเลยที่ 2 ได้เช่าที่ดินของวัดเทพศิรินทราวาสปลูกตึกแถวที่พิพาทกันนี้กับตึกแถวอีก 2 คูหา ทำสัญญาเช่าที่ดินมีกำหนด 10 ปี ครบ 10 ปีแล้วตึกที่สร้างตกเป็นของวัด นายกมลและครอบครัวได้อยู่อาศัยในตึกแถว 3 ห้องนี้ ต่อมานายกมลถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินจากวัดสืบต่อมา และจำเลยทั้งสองยังคงอยู่อาศัยในตึกแถวดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้โอนสิทธิการเช่าที่ดินเฉพาะที่ตั้งตึกแถวให้แก่โจทก์ตีใช้หนี้เงินกู้ โจทก์ได้เข้าทำสัญญาเช่าที่ดินกับวัดเทพศิรินทราวาสโดยระบุไว้ในสัญญาเช่าว่า เมื่อหมดอายุสัญญาเช่าแล้วโจทก์ยอมให้ตึกพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินและเป็นสมบัติของผู้ให้เช่า ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทรวมทั้งสิทธิการเช่าที่ดินตึกพิพาทตั้งอยู่ โดยยอมให้โจทก์เข้าทำสัญญาเช่าที่ดินกับวัดเทพศิรินทราวาสเช่นนี้แล้วจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้ขออยู่ในตึกพิพาทต่อไปอีกสองเดือนดังโจทก์นำสืบ แม้การโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้รายนี้ไม่บริบูรณ์ เพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ก็หาเป็นโมฆะไม่ ทั้งการที่จำเลยโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์ก็เป็นการแสดงเจตนาโอนการครอบครองตึกพิพาทให้โจทก์แล้วที่จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อมาก็โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ โจทก์มีบุคคลสิทธิที่จะบังคับจำเลยให้ออกไปจากตึกพิพาท ซึ่งโจทก์ก็มีสิทธิครอบครองได้ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่จึงมีมติว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาท ทั้งบัดนี้ตึกพิพาทก็ตกเป็นของวัดเทพศิรินทราวาสตามสัญญาเช่าแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะอ้างอิงเพื่ออยู่ในตึกพิพาทอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น