คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องบังคับจำนองจำเลย ในที่สุดตกลงกันให้นำที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้จำนองโจทก์ก่อนขายมีบุคคลภายนอกยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งระงับการขายโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้นร่วมกับจำเลยและผู้ร้องได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งแล้วกับยังได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วยดังนี้ เมื่อศาลเห็นสมควรก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนั้นไว้ได้ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ประกอบกับข้อความในวรรคสุดท้ายของมาตรานั้นและมาตรา 306

ย่อยาว

ศาลแพ่งพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีใจความว่าจำเลยยอมใช้หนี้จำนองให้โจทก์ภายในวันที่ 3 สิงหาคม 2504 หากจำเลยไม่อาจปฏิบัติได้ก็ยอมโอนที่ดินโฉนด 15064 ซึ่งโจทก์ฟ้องบังคับจำนองนั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2504 โดยให้ถือว่าเป็นอันชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว

ครั้นวันที่ 15 สิงหาคม 2504 จำเลยแถลงต่อศาลว่าไม่อาจชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญา เพราะจำเลยถูกนายชัย ทองไทย ฟ้องขอแบ่งครึ่งที่ดินโฉนด 15064 ในที่สุดโจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้ศาลจัดการขายทอดตลาดที่ดินโฉนด 15064 เสียเพื่อเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองศาลแพ่งได้มีหมายบังคับคดีเพื่อยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดใช้หนี้โจทก์

ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน 2504 นายชัย ทองไทย ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งระงับการขายทอดตลาดที่ดินโฉนด 15064 ไว้ก่อน โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยเพื่อขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินรายนี้อยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีแล้ว ปรากฏตามคดีแดงของศาลแพ่งที่ 306, 307/2503 (ซึ่งรวมพิจารณา) คดีอยู่ระหว่างฎีกา นอกจากนี้ ผู้ร้องยังได้ฟ้องโจทก์กับจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยร่วมกันในคดีดำของศาลแพ่งที่ 2648/2504 อีกสำนวนหนึ่ง เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินโฉนด 15064 และเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้เสียด้วย เนื่องจากนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ ถ้ามีการขายทอดตลาดที่ดินโฉนด 15064 ไปแล้วหากผู้ร้องชนะคดีก็จะเป็นการยุ่งยากในการบังคับคดี จึงขอให้ศาลสั่งระงับการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ไว้ก่อน จนกว่าคดีดังกล่าวทั้ง 3 สำนวนจะถึงที่สุด

โจทก์รับว่า มีคดีพิพาทอยู่ในศาลตามที่ผู้ร้องอ้างจริง แต่ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่ศาลจะสั่งระงับการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้

ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า ถึงแม้ในที่สุดผู้ร้องจะชนะคดีทั้ง 3 สำนวนผลก็มีเพียงว่าผู้ร้องได้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้ร่วมกับจำเลยฉะนั้น หากมีการบังคับคดีขายทอดตลาดไป ผู้ร้องก็ย่อมมีสิทธิขอให้กันส่วนของผู้ร้องไว้ต่างหากได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287, 289 ทั้งคดีนี้ยังมิได้มีการขายทอดตลาด จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ประกอบกับข้อความในวรรคสุดท้ายของมาตรานั้น และมาตรา 306 บุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียอาจคัดค้านการขายทรัพย์ในการบังคับคดีได้ เมื่อศาลได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาเห็นเป็นการสมควรก็มีคำสั่งให้งดการขายไว้ได้คดีนี้ ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ขายทอดตลาดร่วมกับจำเลย ทั้งผู้ร้องได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย และได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ไว้ด้วย เท่ากับผู้ร้องอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ไว้ได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1350/2494

ข้อที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นเพียงเจ้าของที่ดินร่วมกับจำเลยหากมีการบังคับคดีขายทอดตลาดไป ผู้ร้องก็ย่อมมีสิทธิขอให้กันส่วนของผู้ร้องไว้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องได้ฟ้องขอทำลายนิติกรรมจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ไว้ด้วย ซึ่งหากศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีและที่ดินได้ถูกขายทอดตลาดไปเสียแล้วผู้ร้องย่อมได้รับความเสียหายจึงชอบที่จะร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ไว้ได้

ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้งดการขายทอดตลาดที่ดินโฉนด 15064 ไว้ก่อน จนกว่าคดีของศาลแพ่งแดงที่ 306,307/2503และ ดำที่ 2648/2504 จะถึงที่สุด

Share