คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยกล่าวคำอาฆาตผู้ตายไว้เนื่องจากจำเลยซื้อ สลากกินรวบจากผู้ตายถูก รางวัล 20,000 บาท แต่ ผู้ตายจ่ายเพียง 1,000 บาทวันเกิดเหตุ ป. ชวนผู้ตายไปซื้อ สุรา จำเลยอาสาจะไปกับผู้ตายผู้ตายไม่ยอมไปด้วย จำเลยว่าถ้า ไปก็เรียบร้อย เมื่อ ป. คนเดียวไปซื้อ สุรา ผู้ตายกับจำเลยเกิดโต้เถียง กันอย่างรุนแรง มีผู้เข้ามาห้าม จำเลยกลับไปที่บ้านซึ่ง อยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตร เอาปืนลูกซองสั้นแล้วย้อนกลับมาที่บ้าน ป. ลอด ใต้ถุน บ้านเข้าไปและยิงผู้ตาย ดังนี้ ระยะทางไปกลับจากบ้าน ป. กับบ้านจำเลยประมาณ1 กิโลเมตร จำเลยย่อมมีโอกาสคิดทบทวนว่าสมควรจะฆ่าผู้ตายหรือไม่พฤติการณ์ที่จำเลยลอด ใต้ถุน บ้านเข้าไปยิงผู้ตายก็เพื่อปกปิดมิให้ผู้อื่นเห็น การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดย ไตร่ตรอง ไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรกับได้ใช้ปืนยิงผู้อื่นโดยเจนนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนกระสุนปืนถูกผู้อื่นตายและบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 298, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจำเลยแถลงขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284,248, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าเป็นกรรมเดียวกัน ลงโทษตาม มาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 15 ปีฐานมีปืน จำคุก 1 ปี และฐานพาปืนจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 16 ปี 6 เดือน
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ให้ประหารชีวิต จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเมื่อสืบพยานโจทก์ใกล้เสร็จแล้ว จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) ให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น จะนำมารวมอีกไม่ได้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว สาเหตุที่จำเลยยิงผู้ตายก็เนื่องมาจากที่ผู้ตายไม่ยอมจ่ายเงินรางวัลสลากกินรวบให้แก่จำเลย แม้นายเปล่งผู้เสียหายและนายปลื้มบิดาจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ตายจะไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกันแต่จำเลยก็ยังติดใจในเรื่องนี้อยู่อีก วันเกิดเหตุเมื่อมาถึงบ้านนายปลื้มพบจำเลยอยู่ที่บ้าน นายปลื้มชวนผู้ตา่ยไปซื้อสุรา จำเลยรับอาสาจะไปกับผู้ตายเอง แต่ผู้ตายไม่ไปด้วย จำเลยว่าถ้าไปก็เรียบร้อย ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าจำเลยยังโกรธเคืองผู้ตายอยู่ นายปลื้มจึงออกไปซื้อสุราเพียงคนเดียว หลังจากที่นายปลื้มออกไปแล้ว จำเลยกับผู้ตายก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรงนายเปล่งผู้เสียหายเข้าห้ามปรามจำเลยก็ออกไปและกลับไปที่บ้านของจำเลยซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตร เอาปืนลูกซองสั้นแล้วย้อนกลับมาที่บ้านนายปลื้มบิดา สอดใต้ถุนบ้านเข้าไปและยิงผู้ตาย เห็นว่า บ้านจำเลยกับบ้านนายปลื้มบิดาอยู่ห่างกันประมาณ 500 เมตร ระยะทางไปกลับรวมกันแล้วประมาณ 1 กิโลเมตร ในระหว่างไปและกลับนั้น จำเลยย่อมมีโอกาสคิดทบทวนว่าสมควรจะฆ่าผู้ตายหรือไม่ กับเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ที่จำเลยลอดใต้ถุนบ้านนายปลื้มบิดาเข้าไปเพื่อปกปิดไม่ให้ผู้อื่นเห็นและยิงผู้ตาย แสดงให้เห็นถึงความไตร่ตรองไว้ก่อนของจำเลยที่จะฆ่าผู้ตาย มิใช่กรณีที่จำเลยเกิดโทสะรีบกลับไปเอาปืนที่บ้านแล้วย้อนกลับมายิงผู้ตายต่อหน้าต่อตาและต่อหน้าบุคคลอื่น ๆ ดังที่จำเลยฎีกา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share