คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคณะเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ฟ้องเจ้าของอาคารให้รื้อถอนอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2479 มาตรา 12 ประกอบกับมาตรา11และศาลพิพากษาให้เจ้าของรื้อ ถ้าไม่รื้อก็ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจรื้อแล้วเจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจรื้อได้ทีเดียวตามคำพิพากษานั้นโดยไม่ต้องฟ้องบุคคลซึ่งอยู่ในอาคารนั้นอีกเพราะกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดำเนินการต่อเจ้าของอาคารและฟ้องเจ้าของอาคาร มิได้บัญญัติให้ดำเนินการหรือฟ้องผู้เช่าหรือบุคคลอื่นซึ่งมิได้อยู่ในฐานะเจ้าของอาคารให้รื้อถอนการกระทำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น จึงไม่เป็นการละเมิดต่อผู้เช่าหรือบุคคลอื่นแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีทั้ง 5 สำนวนนี้ ศาลล่างพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันว่า โจทก์เช่าตึกแถวห้องเลขที่ 653, 655, 651, 657, 649 คนละห้องของวัดไตรมิตร ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองศาสนสมบัติกรมการศาสนา โจทก์เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ตลอดเวลา บัดนี้ จำเลยส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการรื้อตึกดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายเพราะไม่สามารถครอบครองใช้ประโยชน์ได้ตามปกติสุข และทรัพย์สินของโจทก์ในห้องได้รับความเสียหาย จึงขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับตึกและห้ามมิให้จำเลยและบริวารขัดขวางในการที่โจทก์จะใช้ตึก

จำเลยทุกสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์อยู่ในห้องพิพาทโดยละเมิดต่อกรมการศาสนา เพราะกรมการศาสนาได้เป็นโจทก์ฟ้องในคดีนี้เป็นจำเลยแล้วทำยอมกันกรมการศาสนามีอำนาจรื้อถอนห้องพิพาทได้เพราะเป็นศาสนาสมบัติของวัด ทั้งเทศมนตรีเทศบาลนครกรุงเทพในฐานะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้เป็นโจทก์ฟ้องกรมการศาสนาเป็นจำเลยให้รื้อถอนห้องพิพาท โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 ศาลได้พิพากษาให้กรมการศาสนารื้อถอนตามคำพิพากษาศาลแพ่งแดงที่ 657/2503แล้ว แต่กรมการศาสนาไม่รื้อจำเลยจึงมีอำนาจรื้อถอนได้เองตามอำนาจที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารก่อนวันเข้ารื้อถอน จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ๆ ไม่ใช่เจ้าของอาคาร จะโต้แย้งคัดค้านใด ๆ ในการที่จำเลยปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมายหาได้ไม่ ค่าเสียหายไม่ระบุว่าเป็นทรัพย์อะไรบ้างจึงเคลือบคลุม

ศาลแพ่งสอบถามคู่ความแล้วสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่ผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการทำละเมิด พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทุกสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าห้องพิพาทเป็นของวัดไตรมิตร กรมการศาสนาให้จำเลยเช่าแม้โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมกับกรมการศาสนายอมออกจากห้องพิพาทก็ดี แต่โจทก์ก็ยังคงอยู่ในห้องพิพาทโดยเสียค่าเช่าแก่กรมการศาสนาตลอดมา คำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ 657/2503 ผูกพันเฉพาะกรมการศาสนา ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกฉะนั้น การที่จำเลยรื้อห้องพิพาทในระหว่างที่โจทก์ยังเช่าอยู่จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษากลับ ห้ามจำเลยและบริวารรื้อถอนห้องพิพาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร มาตรา 12ประกอบกับมาตรา 11 ให้อำนาจนายช่างเข้าตรวจอาคารใด ๆ ได้ถ้าพบว่าอาคารหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไม่แข็งแรง ไม่ปลอดภัย ก็มีอำนาจสั่งเจ้าของอาคารเลิกใช้หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขรื้อถอนเสียภายในเวลาที่กำหนดให้ ถ้าไม่ปฏิบัติก็ร้องขอต่อศาล เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วเจ้าของไม่ปฏิบัติ กฎหมายก็ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจัดการได้ตามที่เห็นสมควร ปรากฏตามคดีแดงที่ 657/2503 ระหว่างเทศมนตรี เทศบาลนครกรุงเทพ โจทก์ กรมการศาสนา จำเลยว่าได้ตกลงทำยอมกัน ใจความว่า จำเลยยอมรื้อถอนอาคารตามฟ้องภายใน 1 เดือนถ้าไม่รื้อหรือไม่สามารถรื้อ ก็ให้โจทก์จัดการตามที่เห็นสมควรศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยในคดีนี้มีสิทธิรื้อหรือเปลี่ยนแปลงอาคารนี้ได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างฯ พ.ศ. 2479 เนื่องจากกฎหมายเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดำเนินการต่อเจ้าของอาคารและฟ้องเจ้าของอาคาร มิได้บัญญัติให้ดำเนินการฟ้องผู้เช่าหรือบุคคลอื่นซึ่งมิได้อยู่ในฐานะเจ้าของอาคารให้รื้อถอนหรือเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นแม้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมิได้ฟ้องโจทก์ ซึ่งเป็นผู้อยู่ในห้องพิพาทเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็มีสิทธิรื้อถอนหรือเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทตามคำพิพากษาของศาลและตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479 ได้ ทั้งจำเลยก็ได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงการรื้อถอนแล้ว การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับ บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share