คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 518/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างขนย้ายเครื่องใช้สำนักงานที่กำหนดว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากความบกพร่องของพนักงานถือว่าเป็นความตกลงยกเว้นความรับผิดของโจทก์ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ความตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าเพื่อยกเว้นมิให้โจทก์ต้องรับผิดเพื่อความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 373 โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับความเสียหายต้องป้อนถ่ายข้อมูลใหม่แม้ผู้ป้อนถ่ายข้อมูลที่ถูกกลบเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขนย้ายจะเป็นพนักงานประจำของจำเลย แต่การกระทำดังกล่าวเนื่องจากผลการกระทำของโจทก์ที่ทำให้จำเลยเสียหายเป็นแรงงานของพนักงานนั้นไป จำเลยจึงเรียกให้โจทก์ชำระค่าเสียหายส่วนนี้ตามสัญญาจ้างขนย้ายเครื่องใช้สำนักงานระหว่างโจทก์จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับจ้างจำเลยทั้งสี่ขนย้ายเอกสารและเครื่องใช้สำนักงานรวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลยที่ 1 จากที่ตั้งสำนักงานแห่งเดิมเขตปทุมวันไปที่สำนักงานแห่งใหม่เขตประเวศ กรุงเทพมหานครและโจทก์ยังเป็นผู้รับประกันภัยสิ่งของที่ขนย้ายไว้กับจำเลยทั้งสี่ ค่าสินจ้างค่าเบี้ยประกันภัย และค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 195,810 บาท โจทก์ทำงานที่รับจ้างเสร็จและส่งมอบงานให้จำเลยทั้งสี่แล้ว จำเลยทั้งสี่วางมัดจำไว้ขณะทำสัญญาจ้างจำนวน 48,150 บาท จำเลยทั้งสี่คงค้างชำระเป็นเงิน 147,660 บาท โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถาม จำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 77,660 บาท ยังคงค้างชำระอีก 70,000 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 71,852.08 บาท อัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงิน 70,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสี่ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ขนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้บรรจุในกล่องที่มีวัสดุกันกระแทก ทำให้อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ชำรุดเสียหาย ข้อมูลภายในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองหรือฮาร์ดดิสก์ถูกลบ โจทก์จึงต้องรับผิดในค่าซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์และค่าป้อนถ่ายข้อมูลที่ถูกลบลงในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองหรือฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวเป็นเงิน 134,900 บาท นอกจากนี้โจทก์มิได้แจ้งนามบริษัทผู้รับประกันภัยและส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเบี้ยประกันภัยและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 16,050 บาท แก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่รับว่าค้างชำระค่าจ้างตามฟ้องจำนวน 70,000 บาท จริง แต่เมื่อหักค่าเบี้ยประกันภัยและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดออก จำเลยทั้งสี่คงค้างชำระค่าจ้าง 53,950 บาทและเมื่อหักกลบลบกันกับค่าจ้างบุคคลภายนอกซ่อมแซมและป้อนถ่ายข้อมูลที่โจทก์ต้องรับผิดแล้ว โจทก์ยังมีหนี้ต้องชำระให้แก่จำเลยทั้งสี่อีก 80,950บาท ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินจำนวน 80,950 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสี่

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ขนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้วัสดุกันกระแทกพิเศษตามที่ระบุในสัญญา ขณะส่งมอบงานไม่ปรากฏความชำรุดเสียหายให้เห็นประจักษ์ จำเลยที่ 1 รับมอบงานโดยมิได้อิดเอื้อนหรือโต้แย้ง โจทก์ไม่ได้ร่วมตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเลยทั้งสี่ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าความชำรุดเกิดขึ้นระหว่างขนย้าย แม้มีความชำรุดของอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์ สัญญาจ้างก็ระบุยกเว้นความรับผิดให้โจทก์จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์รับประกันภัยสิ่งของที่ขนย้ายแล้ว จึงต้องรับผิดชำระค่าเบี้ยประกันภัยไม่คุ้มครองถึงอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 15,047.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งแก่จำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ชนะคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์2,000 บาท แทนจำเลยที่ 1

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ขนย้ายเอกสารและอุปกรณ์ในสำนักงานรวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายจ.11 และ จ.3 จากสำนักงานแห่งเดิมซึ่งตั้งอยู่ชั้น 2 และชั้นลอยของอาคารไปยังสำนักงานแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 3 และชั้น 4 ของอาคาร อาคารทั้งสองแห่งไม่มีลิฟต์และสายพานส่งของ การขนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ โจทก์วางบนรถเข็นสองล้อมีกระดาษรองกันกระแทก และลากรถเข็นลงบันไดจากสำนักงานแห่งเดิมบรรทุกรถยนต์บรรทุกหกล้อไปสำนักงานแห่งใหม่ และใช้รถเข็นดังกล่าวลากเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นบันไดไปยังสำนักงานแห่งใหม่ หลังจากขนย้ายแล้ว จำเลยที่ 1 ตรวจสอบพบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ชำรุดใช้การไม่ได้ต้องซ่อมและป้อนถ่ายข้อมูลใหม่

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลยที่ 1 เสียหายเนื่องจากการขนย้ายของโจทก์หรือไม่… ฟังได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของจำเลยที่ 1 เสียหาย เนื่องจากการขนย้ายของโจทก์

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองว่า โจทก์ต้องรับผิดในค่าเสียหายต่อจำเลยที่ 1 ตามฟ้องแย้งหรือไม่ สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.11 ข้อ 3 และ 4 กำหนดว่าในการขนย้ายต้องบรรจุเครื่องคอมพิวเตอร์โดยวัสดุกันกระแทกพิเศษ และขนย้ายด้วยความระมัดระวังตามความเหมาะสมของลักษณะงาน แต่ในการขนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ โจทก์ใช้รถเข็นสองล้อโดยไม่ใช้กระดาษรองกันกระแทกพิเศษและลากรถเข็นนั้นลงและขึ้นบันไดจากสำนักงานแห่งเดิมไปสำนักงานแห่งใหม่ ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลซึ่งประกอบอาชีพเช่นโจทก์จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โจทก์อาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่โจทก์ไม่กระทำความเสียหายนี้เกิดขึ้น เป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ที่โจทก์ว่าอาคารสำนักงานแห่งเดิมและสำนักงานแห่งใหม่ของจำเลยที่ 1 ไม่มีลิฟต์และสายพานส่งของ วิธีการขนย้ายของโจทก์เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งหากเป็นอย่างที่โจทก์กล่าวอ้างจริง จำเลยที่ 1คงไม่สามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปติดตั้งครั้งแรก โดยไม่ปรากฏว่ามีปัญหาเครื่องขัดข้องเกิดขึ้นข้ออ้างของโจทก์ไม่น่ารับฟัง ดังนั้นที่โจทก์อ้างว่าสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.11 หน้าที่สองย่อหน้าที่หนึ่ง กำหนดว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากความบกพร่องของพนักงานและความเสียหายของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ถือว่าเป็นความตกลงยกเว้นความรับผิดของโจทก์ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ความตกลงที่ทำไว้ล่วงหน้าเพื่อยกเว้นมิให้โจทก์ต้องรับผิดเพื่อความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 373 โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เพียงใด จำเลยที่ 1มีนายจงรักเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างบริษัทเนท์ไลน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ย้ายมา เมื่อติดตั้งเสร็จปรากฏว่าตัวประมวลผลหรือสมองกลใช้การไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงจ้างบริษัทเนทไลน์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทำการซ่อม ตั้งแต่คืนวันที่ 2 จนถึงเช้าวันที่ 3กุมภาพันธ์ 2540 จึงเสร็จ จำเลยที่ 1 ได้จ่ายสินจ้างให้บริษัทเนทไลน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แล้วตามใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.3และ ล.4 เห็นว่า โจทก์ขนย้ายเสร็จเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2540 บริษัทเนทไลน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ติดตั้งและเริ่มซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ชำรุดในคืนวันเดียวกัน จำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้างให้บริษัทเนทไลน์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด ครั้งเดียวตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 ซึ่งเอกสารดังกล่าวระบุว่า”ค่าบริการการติดตั้งคอมพิวเตอร์ (เสียจากการขนย้าย)” เชื่อว่าจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 จำนวน 74,900 บาท เป็นที่ค่าติดตั้งและค่าซ่อมรวมอยู่ด้วยกัน ดังนั้น ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เป็นเงิน74,900 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าสูงเกินไป ส่วนค่าเสียหายเป็นค่าป้อนถ่ายข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำนวน 12,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ป้อนถ่ายข้อมูลจะเป็นพนักงานประจำของจำเลยที่ 1แต่การที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ต้องไปกระทำการดังกล่าวเนื่องจากผลการกระทำของโจทก์ ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายเป็นแรงงานของพนักงานนั้นไป จำเลยที่ 1 จึงเรียกให้โจทก์ชำระค่าเสียหายส่วนนี้ได้ ซึ่งค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าขนย้ายจำนวน 70,000บาท เมื่อนำมาเปรียบเทียบจำนวนค่าเสียหายของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ต้องชดใช้แก่จำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเป็นจำนวนเงินพอกันจึงเห็นควรให้เป็นพับกันไป ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องและฟ้องแย้ง

Share