แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น มีบทบัญญัติกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษ ว่าผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้นจำเลยจะสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้วแต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาลจำเลยก็ต้องแพ้คดี
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินไป 4,000 บาท พ้นกำหนดแล้วไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้กู้เงินจากโจทก์ไป 4,000 บาทจริง โดยให้ที่นาทำต่างดอกเบี้ย ไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงิน แต่ตกลงกันว่าเมื่อยังไม่ชำระเงิน ให้โจทก์ทำนาต่อไป เมื่อต้นเดือนเมษายน 2506 จำเลยนำเงินไปชำระ โจทก์รับไว้แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ โดยจะเอาดอกเบี้ยอีก ขอให้ศาลยกฟ้อง
สำนวนหลัง นางพันธ์โจทก์ฟ้องนายชมเป็นจำเลย ฐานไม่ยอมคืนสัญญากู้และเรียกค่าเสียหาย ขอให้จำเลยคืนสัญญากู้ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธว่านางพันธ์โจทก์ยังไม่ได้ชำระเงินต้น 4,000 บาท ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า น้ำหนักคำพยานทางฝ่ายนางพันธ์ดีกว่าฝ่ายนายชม นายชมจึงแพ้คดี พิพากษายกฟ้องคดีที่นายชมเป็นโจทก์
นายชมทั้งในฐานะโจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้นางพันธ์จำเลยใช้เงินต้นกับดอกเบี้ยให้นายชม
นางพันธ์ทั้งในฐานะจำเลยและโจทก์ฎีกา
เพื่อความสะดวก ศาลฎีกาจึงกำหนดให้เรียกนายชมว่าโจทก์และเรียกนางพันธ์ว่าจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสองสำนวนนี้เป็นเรื่องกู้ยืมที่มีหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งมีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษว่าผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น จะสืบพยานบุคคลไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้นฉะนั้น จำเลยจึงสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินกู้ให้โจทก์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาล จำเลยต้องแพ้คดีโจทก์ จึงพิพากษายืน