คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 82,300 บาท และเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกหลายราย รวมหนี้ทั้งหมดแล้วเป็นเงินประมาณ 1,400,000 บาทจำเลยรับราชการเป็นครูระดับ 6 มีรายได้เป็นเงินเดือน 11,230 บาทและมีรายได้จากการสอนพิเศษเดือนละ 4,000 บาท ทั้งมีรายได้จากค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,500 บาท นับว่ารายได้ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับหนี้สิน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความตั้งใจจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นด้วยความสุจริตใจไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และโจทก์ไม่เคยมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 82,300 บาท และเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกหลายราย จำเลยมีหนี้สินทั้งหมดประมาณ1,400,000 บาท มากกว่าทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และจำเลยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ จำเลยจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 8(5)(9)
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ ข้อนี้จำเลยนำสืบว่าจำเลยมีอาชีพรับราชการระดับ 6 มีรายได้เป็นเงินเดือนเดือนละ11,230 บาท และมีรายได้จากการสอนพิเศษเดือนละ 4,000 บาท ทั้งมีรายได้จากค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,500 บาท นั้น เห็นว่า แม้จะฟังได้ว่าจำเลยมีรายได้ตามที่จำเลยนำสืบก็นับว่ารายได้ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับหนี้สินที่มีอยู่ เพราะจำเลยจะต้องนำรายได้นั้นไปใช้จ่ายในการดำรงชีพตนและครอบครัว ไม่อาจที่จะนำมาชำระหนี้ได้ครบถ้วนแม้แต่ดอกเบี้ย เห็นได้ว่าจำเลยไม่สามารถนำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความตั้งใจจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นด้วยความสุจริตใจคดีจึงไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
พิพากษายืน

Share