คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินแปลงพิพาทแก่โจทก์และให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 10,000 บาท แก่จำเลยหากจำเลยไม่ไปโอนที่ดินแก่โจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่อาจโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้เพราะเหตุพ้นวิสัยให้จำเลยคืนเงิน 85,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังพร้อมกับออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วันแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวย่อมเป็นผู้มีสิทธิตามคำพิพากษาในอันจะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีนี้ที่ได้พิพากษาหลังจากผู้ร้องมีสิทธิแล้วย่อมไม่อาจบังคับคดีกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้อง ซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือที่ดินที่ผู้ร้องมีสิทธิอยู่ก่อนแล้วได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมชดใช้เงิน 99,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.)ทะเบียนเลขที่ 963 ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรเนื้อที่ 22 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวา ของจำเลยเพื่อบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดดังกล่าว จำเลยได้ทำสัญญาจะขายให้แก่ผู้ร้อง แล้วจำเลยผิดสัญญาผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขแดงที่ 620/2528ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวแก่ผู้ร้องหากจำเลยไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยผู้ร้องจึงมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนให้แก่ผู้ร้องได้ก่อนผู้อื่น โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินดังกล่าวกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า จำเลยมีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทะเบียนเลขที่ 963 และยังครอบครองทำกินในที่ดินดังกล่าวตลอดมา ที่ดินแปลงที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจะขายให้นั้นคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทะเบียนเลขที่ 961 จะเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่โจทก์นำยึดหรือไม่โจทก์ไม่ทราบ หากเป็นที่ดินแปลงเดียวกันผู้ร้องก็ยังไม่ได้กระทำการเปลี่ยนแปลงหลักฐานทางทะเบียน ที่ดินดังกล่าวยังเป็นของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธินำยึดมาบังคับคดี ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 620/2528 ของศาลชั้นต้นนั้น ผู้ร้องเป็นเพียงผู้มีสิทธิจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากจำเลยเท่านั้น จำเลยยังเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินอยู่ ผู้ร้องยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินแปลงพิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าวันที่ 1 กรกฎาคม 2528 ผู้ร้องฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขดำที่ 387/2528 ว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 961 ตำบลวังสำโรงอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวแก่ผู้ร้องในราคา 95,000 บาท ผู้ร้องตกลงซื้อโดยชำระราคาแก่จำเลยแล้ว 85,000 บาท เงินส่วนที่เหลือผู้ร้องตกลงจะชำระให้แก่จำเลย ในวันที่จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแก่ผู้ร้องภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ 15 เมษายน 2528 ซึ่งเป็นวันทำสัญญา จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่เคยตกลงทำสัญญาหรือรับเงินจากผู้ร้องตามฟ้องเป็นสัญญาปลอมเพราะบุตรสะใภ้จำเลยเคยขอยืมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวของจำเลยไปเพื่อจะนำไปใช้ค้ำประกันการกู้เงิน พร้อมกับให้จำเลยลงชื่อในเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความ ผู้ร้องนำเอกสารดังกล่าวมากรอกข้อความเอาเองโดยพลการ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องและให้ผู้ร้องชำระเงินที่เหลือ 10,000 บาท แก่จำเลยหากจำเลยไม่ไปโอนที่ดินแก่ผู้ร้องให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่อาจโอนที่ดินแก่ผู้ร้องได้เพราะเหตุพ้นวิสัย ให้จำเลยคืนเงิน 85,000 บาท แก่ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2533 พร้อมกับออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน รายละเอียดปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 387/2528 หมายเลขแดงที่ 620/2528 ของศาลชั้นต้นครั้นวันที่ 1 พฤษภาคม 2533 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2533ยอมชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 99,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 963 ตำบลวังสำโรงอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่โจทก์นำยึด และตามทางนำสืบ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนายสุวิทย์ จันทร์แสงศรี เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายฟ้องซึ่งจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์นั้นความจริงเป็นทะเบียนเลขที่ 963 มิใช่เลขที่ 961 ดังที่ผู้ร้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง สำหรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.) ทะเบียนเลขที่ 961 ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหินจังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 23 ไร่ 3 งาน 33 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ร.1นั้นมีชื่อนายจ้อย กันกลั่น เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะบังคับคดีกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ก่อนแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 511/2533 ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินแปลงพิพาทแก่โจทก์ในคดีดังกล่าวและให้โจทก์ในคดีดังกล่าวชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 10,000 บาท แก่จำเลย หากจำเลยไม่โอนที่ดินแก่โจทก์ในคดีดังกล่าวให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่อาจโอนที่ดินให้แก่โจทก์ดังกล่าวได้เพราะเหตุพ้นวิสัยให้จำเลยคืนเงิน 85,000 บาท แก่โจทก์ดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังพร้อมกับออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวย่อมเป็นผู้มีสิทธิตามคำพิพากษาในอันจะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีนี้ที่ได้พิพากษาหลังจากผู้ร้องมีสิทธิแล้วย่อมไม่อาจบังคับคดีกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งอาจร้องขอให้บังคับเหนือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์แปลงที่ผู้ร้องมีสิทธิอยู่ก่อนแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 511/2533 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 739/2511 ระหว่างนายซื้อ น้ำค้าง โจทก์ นายม้วน ประจงการ จำเลย คงมีปัญหาข้อเท็จจริงที่ยังจะต้องวินิจฉัยเพียงว่าที่ดินพิพาทซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้ร้องนั้น เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ร้องบรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 961 ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรให้แก่ผู้ร้องและขอให้ศาลบังคับจำเลยโอนที่ดินดังกล่าวแก่ผู้ร้องก็ตาม แต่ผู้ร้องก็ได้บรรยายไว้ด้วยว่าที่ดินที่จำเลยจะขายแก่ผู้ร้องนั้นคือที่ดินตามภาพถ่ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายฟ้องซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ตรงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 963 เล่มที่ 10 ข. หน้า 13 เลขที่ดิน 6ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 22 ไร่2 งาน 6 ตารางวา ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ที่แท้จริง ส่วนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทะเบียนเลขที่961 เล่มที่ 10 ข. หน้า 11 เลขที่ดิน 4 ตำบลวัดสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 23 ไร่ 3 งาน 33 ตารางวาที่ถูกต้องนั้นมีชื่อนายจ้อย กันกลั่น เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าที่ผู้ร้องบรรยายฟ้องว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามภาพถ่ายท้ายฟ้องมีทะเบียนเลขที่ 961นั้น เป็นการคลาดเคลื่อนไปเนื่องจากเลข 3 ที่เขียนไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเขียนไม่เด่นชัด ไม่มีรอยหยักกลางตอนบนของเลข 3 ทำให้เข้าใจผิดไปว่าเป็นเลข 1 ฉะนั้นที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยจดทะเบียนโอนแก่ผู้ร้องตามเจตนาที่ผู้ร้องและจำเลยตกลงทำกันไว้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ถูกต้องแท้จริงก็คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 963เล่มที่ 10 ข. หน้า 13 เลขที่ดิน 6 ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหินจังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 22 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวา นั่นเอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องจึงต้องหมายถึงที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 963 เล่มที่ 10 ข. หน้า 13 เลขที่ดิน 6ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 22 ไร่2 งาน 6 ตารางวา ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องที่ถูกต้องแท้จริงอันเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีนี้นั่นเอง จะให้หมายถึงที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 961 ที่ผู้ร้องบรรยายฟ้องคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยหาได้ไม่เพราะมิใช่ที่ดินแปลงเลขที่ดิน 6 เนื้อที่ 22 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวาและจำเลยมิได้มีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ตามที่ผู้ร้องฟ้องขอบังคับ ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องที่อาจร้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงพิพาทได้อยู่ก่อนแล้วได้ ดังที่วินิจฉัยแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ปล่อยที่ดินแปลงพิพาทชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share