แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกสมคบกันปล้นทรัพย์ของนายชายและนางแอ๋ไปรวมราคา 3,344 บาท ตามบัญชีท้ายฟ้อง และบัญชีท้ายฟ้องระบุเพียงว่าทรัพย์ของนายชายราคา 1,344 บาททรัพย์ของนางแอ๋ราคา 2,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยปล้นทรัพย์อะไรไปบ้าง ฟ้องโจทก์จึงไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน สมคบกันมีอาวุธปืนปล้นทรัพย์ของนายชาย หอมกลิ่น และนางแอ๋ พงหงษา ไปรวมราคม 3,344 บาท ตามบัญชีท้ายฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4, 83 ให้จำคุก 20 ปี คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,345 บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุว่าทรัพย์ที่จำเลยปล้นไปมีอะไรบ้างจำเลยย่อมไม่เข้าใจ ข้อหาเกี่ยวกับสิ่งของที่จำเลยต้องหาได้ เป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ และศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานโจทก์ยังเป็นที่น่าสงสัย ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ไปรวมราคา 3,344 บาท ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องแต่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องระบุไว้แต่เพียงว่าทรัพย์ของนายชาย หอมกลิ่น ราคา 1,344 บาท ทรัพย์ของนางแอ๋ พลหงษา ราคา 2,000 บาท เท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าจำเลยกับพวกปล้นทรัพย์อะไรไปบ้าง ฟ้องโจทก์จึงไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ตามมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนปัญหาว่าคดีโจทก์มีหลักฐานมั่นคงลงโทษจำเลยได้หรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง พิพากษายืน