แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ ฉบับที่ 4 นั้น เป็นคำขอให้ทางแพ่ง โจทก์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำขอที่เป็นทางแพ่งศาลจึงไม่บังคับให้คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองภายหลังใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นคำขอในทางอาญา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยแผ้วถางในที่ตอนใด จึงไม่มีทางจะบังคับให้ได้
ปัญหาที่ว่าความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่อเนื่องกันนั้นเป็นปัญหาที่โจทก์มิได้ยกขึ้นมาว่าในชั้นอุทธรณ์จะมายกขึ้นว่าในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2499 ถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2507 จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้างและแผ้วถางป่าอันเป็นที่ดินของรัฐ เป็นเนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ โดยไม่มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือได้รับอนุญาต หรือกระทำภายในเขตที่รัฐมนตรีประกาศขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 11, 16 และขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่ครอบครอง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเข้าครอบครองแผ้วถางมา 8 – 9 ปี ไม่ได้รับอนุญาตพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 58 (ที่ถูกเป็น มาตรา 54), 72 ตรี พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 11, 16 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54,72 ตรี พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) มาตรา 11, 16 ปรับ 100 บาทลดโทษให้ 1 ใน 3 คงปรับ 75 บาท แต่ไม่สั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดินตามที่โจทก์ขอ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้สั่งให้จำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยก่นสร้าง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นคำนวณให้เหลือค่าปรับ 75 บาทไม่ถูกต้อง แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ศาลชั้นต้นยังลดโทษให้เหลือเพียงเท่านั้นได้ ศาลชั้นต้นอาจมุ่งหมายถึงโทษปรับ 75 บาท เป็นสำคัญทั้งจำเลยมิได้อุทธรณ์ จึงไม่แก้ในข้อนี้ ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยออกจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจะทำได้ก็เฉพาะในกรณีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งมีว่า คดีนี้จำเลยได้กระทำผิดโดยเข้าก่นสร้างแผ้วถางครอบครองป่าตามที่โจทก์ฟ้องมาก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2503 แม้จะฟังว่าจำเลยยังได้ก่นสร้างภายหลังที่ใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ ฉบับที่ 4 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยแผ้วถางในที่ตอนใด เมื่อใด ตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวฟังเป็นยุติว่า ระยะเวลาที่จำเลยเข้าแผ้วถางครอบครอง แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือก่อนและหลังใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถาง จึงแบ่งได้เป็นที่ป่า 2 ตอน
ศาลฎีกาเห็นว่า คำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่แผ้วถางก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ฉบับที่ 4 เป็นคำขอในทางแพ่งจริงดังที่โจทก์ฎีกา แต่คำขอตอนนี้โจทก์มีคำขอมาในทำนองเป็นคำขอในทางอาญามิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำขอที่เป็นทางแพ่ง จึงไม่บังคับให้ส่วนคำขอที่ขอให้บังคับจำเลยออกจากป่าที่จำเลยแผ้วถางครอบครองภายหลังใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ ฉบับที่ 4 มิใช่เป็นคำขอในทางแพ่งแต่เป็นคำขอในทางอาญา เฉพาะกรณีนี้ตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ไม่ปรากฏว่าจำเลยแผ้วถางก่นสร้างในที่ตอนใด จึงเป็นคำขอที่ไม่มีทางที่จะบังคับให้ได้
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ความผิดของจำเลยเป็นความผิดต่อเนื่องกันนั้น ปัญหาข้อนี้โจทก์มิได้ยกขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ จะมายกขึ้นมาในชั้นฎีกาเป็นการไม่ชอบ
แต่คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลย 100 บาท ลดโทษให้1 ใน 3 คงเหลือปรับ 75 บาท ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดชัดแจ้งลงไปแล้วว่าลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 จึงไม่น่าจะแปลความมุ่งหมายเป็นอย่างอื่นแม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้องเสียได้เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะการปรับจำเลย เมื่อลดโทษแล้วเป็นคงปรับจำเลย 66 บาท 66 สตางค์ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์