แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายมีใจความชัดแจ้งว่า คู่สัญญามีเจตนามุ่งซื้อขายที่ดินกันเด็ดขาดไม่มีข้อความใดแสดงว่าคู่สัญญามีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกันในภายหลัง อันจะทำให้เห็นว่าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456
ตามสัญญาซื้อขาย คู่สัญญามีเจตนามุ่งให้สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดและไม่มีทางจะแปลได้ว่าเป็นสัญญาจะซื้อขายแล้วเมื่อสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะนิติกรรมนี้จะสมบูรณ์ในฐานะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 136 ไม่ได้
สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องจะบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ได้หรือไม่นั้นเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนการขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง
จำเลยที่ 1 สู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายคำดีสามีโจทก์กับนายพีจำเลยไม่มีสิทธิจะนำไปขายให้โจทก์ จำเลยลงชื่อในสัญญาในฐานะพยาน โจทก์ไปเขียนเอาเองว่าเป็นผู้ขาย โจทก์กับพวกเขียนชื่อนายคำดีปลอมขึ้น สัญญาเป็นโมฆะ จำเลยเป็นหญิงมีสามี ไม่ได้รับความยินยอมจากสามีให้ทำการขาย สัญญาบังคับจำเลยไม่ได้
จำเลยที่ 2 สู้ว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำดีที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายคำดี โจทก์กับพวกสมคบกันเขียนชื่อนายคำดีเมื่อป่วยหนักแล้ว จำเลยไม่ได้ยินยอมให้ซื้อขายที่พิพาท สัญญาซื้อขายปลอม นางคานไม่มีสิทธิในที่พิพาทการที่ไปลงชื่อในสัญญาซื้อขายจึงไม่ชอบ
นายพี คำศรี ขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
โจทก์แถลงว่าที่พิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่เคยครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายดี (คำดี) นางคาน นางผานได้ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์ นายพีผู้ร้องไม่มีสิทธิในที่พิพาทให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์
จำเลยและผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดไม่ใช่สัญญาจะซื้อขาย เมื่อมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นโมฆะ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายมีใจความชัดแจ้งว่าคู่สัญญามีเจตนามุ่งซื้อขายที่ดินกันเด็ดขาด ไม่มีข้อความใดแสดงว่าคู่สัญญามีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกันในภายหลัง ซึ่งจะให้เห็นว่าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย เมื่อมิได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ที่โจทก์ฎีกาว่า แม้สัญญาจะเป็นโมฆะในฐานะเป็นสัญญาซื้อขายก็ยังสมบูรณ์ในฐานะเป็นสัญญาจะซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 136 เห็นว่าตามสัญญานั้นคู่สัญญามีเจตนามุ่งให้เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดและไม่มีทางจะแปลได้ว่าเป็นสัญญาจะซื้อขาย เมื่อสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ นิติกรรมนี้จะสมบูรณ์ในฐานะเป็นสัญญาจะซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 136 ไปไม่ได้ ที่โจทก์คัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิพากษานอกประเด็นนั้น เห็นว่า ในฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยได้ยกขึ้นอ้างว่า สัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆะ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ใช้บังคับไม่ได้มาด้วย แม้จะไม่ได้อ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 มาโดยตรง แต่สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องจะบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ได้หรือไม่นั้นเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
พิพากษายืน