แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ฎีกาของจำเลยที่ 2 จะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ได้ไปติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 1 และพวกตลอดทั้งพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 และหลอกลวงให้ทำบันทึกคำรับสารภาพไว้ โดยละเอียดก็ตาม แต่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแถลงข้อเท็จจริงปฏิเสธความผิดของตนโดยมิได้ยกเหตุขึ้นคัดค้านหรือกล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จากสารบบความ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายบทเดียวกัน(ที่ถูก เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทในมาตราเดียวกันซึ่งมีโทษเท่ากัน) ให้ลงโทษฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ลงโทษประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2) กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้กระทำความผิดตามฟ้อง โดยสรุปความว่า จำเลยที่ 2 เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางของจำเลยที่ 1 กับพวกเพราะจำเลยที่ 2 ตกลงเป็นสายลับดำเนินการติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 กับพวก ให้แก่จ่าสิบตำรวจวัลลภปะศิระถา และจ่าสิบตำรวจเกษม ฉิมพลี เจ้าพนักงานตำรวจกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 หน่วยปราบปรามยาเสพติดจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือราชการในการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 และพวกแต่อย่างใด จึงขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวแม้จะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ได้ไปติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 1 และพวก ตลอดทั้งพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 และหลอกลวงให้ทำบันทึกคำรับสารภาพไว้โดยละเอียดก็ตาม แต่ฎีกาของจำเลยที่ 2ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแถลงข้อเท็จจริงปฏิเสธความผิดของตนโดยมิได้ยกเหตุขึ้นคัดค้านหรือกล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบาที่สุดนั้น เห็นว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีจำนวน 50,000 เม็ด ปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ถึง 1,473.256 กรัม กรณีจึงต้องระวางโทษจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจลงโทษประหารชีวิตและลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2)แล้วลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ลงโทษจำเลยที่ 2 เบาลงอีก ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน