คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4508/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์กับพวกมีสิทธิใช้ถนนพิพาทในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ 1 เป็นทางจำเป็นโดยผลของคำพิพากษาฎีกาย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 1349 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือโจทก์กับพวกสามารถใช้ถนนพิพาทโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดได้ หากโจทก์กับพวกจะใช้รถยนต์บรรทุกหกล้อเพื่อให้เหมาะสมแก่ถนนพิพาทซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 10 ตันทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติสุขของประชาชนที่พักอาศัยในหมู่บ้านที่ถนนพิพาทผ่านย่อมเป็นการใช้ทางจำเป็นตามสมควรแก่กรณี แต่โจทก์กับพวกกลับจะใช้รถบรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกถนนพิพาทย่อมทำให้ถนนพิพาทและรั้วบ้านที่รถผ่านได้รับความเสียหายรวมทั้งประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะถูกรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติสุข จึงยังไม่สมควรให้จำเลยที่ 1 เปิดคานเหล็กกั้นถนนพิพาทอันเป็นทางจำเป็น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เปิดทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 696 ให้จำเลยที่ 2และที่ 3 เปิดทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โฉนดเลขที่55725 เพื่อเป็นทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะแก่ที่ดินโฉนดเลขที่62551, 109674, 62552 และ 62553 ตำบลทุ่งสองห้อง (สีกัน)อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ) กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ทั้งเก้า และให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 โจทก์ที่ 4 ถึงที่ 9 ร่วมกันชำระค่าทดแทนแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาโจทก์ทั้งเก้าได้ชำระเงินตามคำพิพากษาให้แก่ฝ่ายจำเลยที่ 2 และที่ 3แล้วและได้ขอออกคำบังคับแจ้งให้จำเลยทั้งสามปฏิบัติตามคำพิพากษาแต่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ทั้งเก้าจึงยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อสอบถามในวันที่18 ธันวาคม 2540 ถึงวันนัด โจทก์ทั้งเก้าและจำเลยที่ 2 และที่ 3แถลงรับกันว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ขัดขวางในการเปิดทางจำเป็นแต่อย่างใด มีแต่เพียงจำเลยที่ 1 เท่านั้น ที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยเอาลวดหนามมาปิดกั้นรวมทั้งเสาคอนกรีต ขัดขวางไม่ให้ฝ่ายโจทก์ใช้ทางจำเป็น ทนายความของจำเลยที่ 1 แถลงว่ายินดีที่จะให้จำเลยที่ 1ปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยคู่ความทุกฝ่ายจะไปดูสถานที่พิพาทแล้วจะมาแถลงต่อศาลนัดหน้า ศาลชั้นต้นจึงเลื่อนนัดพร้อมไปในวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันนัด ทนายความของโจทก์ทั้งเก้าแถลงว่าขณะนี้มีต้นไม้ขึ้นบนทางพิพาท ไม่สามารถตัดออกได้ เพราะมีผู้อ้างว่าได้ขออนุญาตฝ่ายจำเลยปลูกทนายความของจำเลยที่ 1 แถลงว่า ยินดีที่จะไปนำชี้บริเวณที่มีต้นไม้ขึ้น เพื่อให้ฝ่ายโจทก์ดำเนินการตัด หากมีการโต้แย้งเกิดขึ้นฝ่ายจำเลยที่ 1 ยินดีดำเนินการให้ลุล่วงไปและจะรับผิดชอบการที่ฝ่ายโจทก์ตัดต้นไม้ดังกล่าว หากมีปัญหาเกิดขึ้น จำเลยที่ 1 จะดำเนินการแก้ไขให้ลุล่วงไปเพื่อประโยชน์ที่จะใช้ทางจำเป็นและฝ่ายจำเลยที่ 1 ยินดีให้ฝ่ายโจทก์ดำเนินการปรับปรุงทางจำเป็นให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีรวมทั้งการเทพื้นคอนกรีต โดยฝ่ายโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

วันที่ 11 มิถุนายน 2541 โจทก์ทั้งเก้ายื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1ได้ให้ลูกจ้างไปปักเสาเหล็ก สูงประมาณ 3 เมตร และกั้นคานเหล็กขวางทางจำเป็นทำให้โจทก์ทั้งเก้าไม่สามารถนำรถบรรทุกเข้าไปดำเนินการปรับปรุงเทพื้นคอนกรีตทางจำเป็นได้ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถาม

ศาลชั้นต้นนัดพร้อมสอบถามคู่ความแล้วมีคำสั่งว่า ในชั้นนี้เห็นว่ายังไม่สมควรเปิดเหล็กกั้นจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะมีมาตรการในการบรรเทาความเสียหายให้ประชาชนในหมู่บ้าน

โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งเก้าฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งเก้าว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยังไม่สมควรให้จำเลยที่ 1 เปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็นนั้นชอบด้วยกฎหมายและถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1224/2539 คงวินิจฉัยเพียงว่าเมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้วโจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้โดยอำนาจของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 ซึ่งหมายความว่า โจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิใช้ทางพิพาทได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมาย ดังกล่าว เมื่อตามวรรคสามของมาตรา 1349 บัญญัติว่า “ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยสุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้” ข้อเท็จจริงได้ความว่าทางพิพาทเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ 1 กว้าง 6 เมตร พื้นถนนเป็นพื้นคอนกรีตหนาประมาณ 15 เซนติเมตร ชั้นล่างบดอัดธรรมดา รับน้ำหนักได้สำหรับรถส่วนบุคคลหรือรถปิกอัพน้ำหนักไม่เกิน 10 ตันน้ำหนักที่บรรทุก 10 ตันใช้ได้เฉพาะรถบรรทุกหกล้อ ไม่สามารถให้รถบรรทุกสิบล้อซึ่งจะบรรทุกน้ำหนักประมาณ 20 ตัน ขึ้นไปผ่านได้หากให้รถบรรทุกสิบล้อผ่านจะเกิดความเสียหาย เช่น พื้นถนน แตกร้าวบริเวณบ้านจัดสรรโดยรอบและรั้วบริเวณที่รถผ่านจะแตกร้าวได้ ทั้งจะทำให้ประชาชนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ 1 ถูกรบกวนการอยู่อาศัยตามปกติ เช่นนอนไม่หลับ เด็กนักเรียนทำการบ้านไม่ได้ ดินที่หล่นบนถนนเมื่อตกบนถนนแล้วจะทำให้ถนนลื่นและเคยเกิดอุบัติเหตุมาแล้ว จำเลยที่ 1 จึงสร้างคานเหล็กซึ่งมีความสูงจากพื้นผิวถนน 2.50 เมตรปิดกั้นทางพิพาทมิให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ทั้งเก้าก็ยืนยันว่าการเข้าไปถมดินจะต้องใช้รถบรรทุกสิบล้อผ่านทางพิพาทเท่านั้น หากไม่ใช้รถบรรทุกสิบล้อจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นโจทก์ทั้งเก้าจะรับผิดชอบเอง แสดงให้เห็นว่าหากโจทก์ทั้งเก้าใช้รถบรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกทางพิพาทย่อมทำให้ทางพิพาทบริเวณบ้านจัดสรรและรั้วบ้านที่รถผ่านได้รับความเสียหายและประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะถูกรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติจริง ซึ่งโจทก์ทั้งเก้าสามารถใช้ทางพิพาทโดยไม่ให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทน้อยที่สุดได้ โดยใช้รถบรรทุกหกล้อบรรทุกดินผ่านเข้าออกทางพิพาทเพื่อให้เหมาะสมแก่ทางพิพาทซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 10 ตัน ทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติของประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ทางพิพาทผ่านด้วย หากโจทก์ทั้งเก้ากระทำเช่นนี้ต่างหากจึงจะชอบด้วยกฎหมายและถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยังไม่สมควรให้จำเลยที่ 1 เปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งเก้าฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งยกคำร้องของโจทก์ทั้งเก้านั้นไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้บังคับคดีเป็นไปตามคำร้องของโจทก์ทั้งเก้าแล้ว ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์ทั้งเก้าเสียศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำร้องของโจทก์ทั้งเก้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share