คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3454/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะบรรยายข้อเท็จจริงไว้ในคำฟ้องว่า หลังจากจำเลยขับรถด้วยความประมาทแล้วผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจราจรและได้รับแจ้งเหตุให้สกัดจับจำเลยได้ออกมายืนสกัดอยู่กลางถนนและให้สัญญาณมือให้จำเลยหยุดรถเพื่อจับกุมดำเนินคดี อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่จำเลยขับรถพุ่งเข้าชนผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าเพื่อขัดขวางการจับกุม ซึ่งเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง แต่โจทก์ก็มิได้อ้างบทมาตราดังกล่าวซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นความผิดและขอให้ลงโทษจำเลยมาในคำขอท้ายฟ้องคงอ้างเฉพาะมาตรา 289,80 เห็นได้ว่าโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ด้วย จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถ แต่ถูกเจ้าพนักงานจราจรยึดใบอนุญาตได้ขับรถยนต์บรรทุกเชียงใหม่ลากจูงรถพ่วงไปตามถนนสายแสงชูโตสายเก่าในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถจากทางสามแยกท่าเรือมุ่งหน้าไปทางวัดใหม่เจริญผล ซึ่งเป็นเขตชุมชนมีประชาชนพลุกพล่านแล้วเลี้ยวกลับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหนีเจ้าพนักงานจราจรทำให้รถยนต์อื่นที่ตามหลังและสวนทางมาต้องชะลอและหยุดรถโดยกะทันหัน อันเป็นการขับรถโดยประมาทน่าหวาดเสียว อาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นที่สัญจรไปมา หลังจากนั้นเมื่อนายดาบตำรวจวุฒิพงศ์ หนุนภักดี ผู้เสียหายที่ 1และจ่าสิบตำรวจสีมา นะที ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจราจรได้รับแจ้งเหตุให้สกัดจับออกมายืนสกัดที่กลางถนนและให้สัญญาณมือให้จำเลยหยุดรถเพื่อจับกุมอันเป็นการกระทำการตามหน้าที่ จำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางด้วยการขับรถพุ่งเข้าชนผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าจำเลยกระทำความผิดฆ่าเจ้าพนักงานไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายทั้งสองกระโดดหลบได้ทัน จึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กาย ตามรายงานการชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 80, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4)(8), 157, 160 พระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 152 และสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(2), 80, 138 วรรคสอง พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4)(8), 157, 160 วรรคสาม พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 152 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่และฐานต่อสู้เจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ฐานขับรถโดยประมาทน่าหวาดเสียวและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นให้ลงโทษตามมาตรา 160 วรรคสามซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 เดือน ฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาต จำคุก 3 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุกฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน 33 ปี 4 เดือนฐานขับรถโดยประมาท จำคุก 20 วัน ฐานปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถในระหว่างถูกยึดใบอนุญาต จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 33 ปี 6 เดือน20 วัน คืนของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2), 80 และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น เฉพาะที่พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ด้วยการขับรถพุ่งเข้าชนผู้เสียหายทั้งสองหรือไม่ และศาลจะลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานได้หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายข้อเท็จจริงไว้ในคำฟ้องข้อ 1 ค. ว่า หลังจากจำเลยขับรถด้วยความประมาทแล้วผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจราจรและได้รับแจ้งเหตุให้สกัดจับจำเลยได้ออกมายืนสกัดอยู่กลางถนนและให้สัญญาณมือให้จำเลยหยุดรถเพื่อจับกุมดำเนินคดีอันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่จำเลยขับรถพุ่งเข้าชนผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่า เพื่อขัดขวางการจับกุม ซึ่งเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ด้วย แต่โจทก์ก็มิได้อ้างบทมาตราดังกล่าวซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นความผิดและขอให้ลงโทษจำเลยมาในคำขอท้ายฟ้อง คงอ้างเฉพาะมาตรา 289, 80 เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยเฉพาะแต่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ด้วยจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสี่ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานนี้หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะที่พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเห็นได้ว่าจำเลยเพียงแต่พยายามขับรถหลบหนีไม่ให้ถูกจับกุมพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้

พิพากษายืน

Share