แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัวไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัวเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้านเห็นได้ว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายหาเหตุออกจากบ้านไปเองจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าขาดโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับหรือไม่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างโต้แย้งคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน 2524 และมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กชายณัฐพล ไมตรีแพน อายุ 11 ปี กับเด็กหญิงปิยะฉัตร ไมตรีแพน อายุ 7 ปีระหว่างปี 2535 ถึง 2537 จำเลยได้ก่อหนี้โดยกู้เงินบุคคลอื่นจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านบาทมาใช้จ่ายส่วนตัวโดยไม่บอกโจทก์โดยเฉพาะเมื่อปลายปี 2536 จำเลยมีส่วนพัวพันในการค้ายาเสพติดให้โทษ อันเป็นการประพฤติชั่วทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงได้รับความดูถูกเกลียดชังและได้รับความเดือดร้อนเกินควรเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบนอกจากนี้เมื่อเดือนมกราคม 2537 จำเลยได้หนีออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นอันเป็นการจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายณัฐพล ไมตรีแพน กับเด็กหญิงปิยะฉัตร ไมตรีแพน บุตรผู้เยาว์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น และไม่ได้กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันแต่อย่างใด จำเลยไม่เคยพัวพันค้ายาเสพติดให้โทษและไม่เคยกู้เงินบุคคลอื่น โจทก์เสียอีกกลับเป็นฝ่ายไปติดพันหญิงอื่นหาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ครั้นเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือนโจทก์จึงโกรธและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้านเพื่อฟ้องหย่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้เด็กชายณัฐพล ไมตรีแพน กับเด็กหญิงปิยะฉัตรไมตรีแพน อยู่ในความปกครองของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าคำให้การของจำเลยถือเป็นการยอมรับตามฟ้องในประเด็นที่ว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันเป็นเหตุหย่าหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยเป็นประการแรก เห็นว่า ตามคำให้การจำเลยบรรยายว่า”ข้อ 1 จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น” และ “ข้อ 3 โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัว กล่าวคือไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัว ซึ่งเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือนโจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้าน” เมื่อพิจารณาถ้อยความดังกล่าวประกอบกันพอเห็นได้ว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในเรื่องจงใจละทิ้งร้างแล้วโดยให้การต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายหาเหตุออกจากบ้านไปเอง เช่นนี้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าขาดโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับหรือไม่นี้ แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ไม่ได้ยกข้อกฎหมายนี้ขึ้นวินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาที่ว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง โดยไม่ย้อนสำนวนโดยฟังว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอชี้ชัดว่า จำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุหย่า ทั้งคดีฟังได้ว่าจำเลยมิได้จงใจละทิ้งร้างโจทก์ คดีโจทก์ไม่มีเหตุหย่า
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง