แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเพิ่งมายื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่สอง ซึ่งหลังวันสืบพยานครั้งแรกเดือนเศษ โดยไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงเพิ่งมายื่นคำร้องทั้งที่ควรจะยื่นคำร้องในโอกาสแรกที่พึงกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในคดี จำเลยจะยกเรื่องทนายความของตนละทิ้งหน้าที่มาเป็นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาไม่ได้ และจำเลยไม่อาจอ้างเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอันเกิดจากความผิดพลาดของจำเลยเอง ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียเปรียบเพราะการดำเนินคดีต้องล่าช้าไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อสินค้าประเภทไม้แปรรูปและตะปูไปจากโจทก์รวมเป็นค่าสินค้าทั้งสิ้น 191,890.80 บาท โจทก์ส่งสินค้าให้จำเลยที่หน่วยงานก่อสร้างของจำเลยที่โรงเรียนเทคโนโลยีไทยสุริยะเรียบร้อยแล้วโจทก์นำใบแจ้งหนี้ไปเรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 191,890.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 8,022.93 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ นายณัฐพล ตูยปาละ ปลอมใบอนุมัติซื้อของบริษัทจำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 191,890.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 1,500 บาท นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2538 ของต้นเงิน 105,517.80 บาท นับแต่วันที่ 21ธันวาคม 2538 และของต้นเงิน 84,873 บาท นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2538เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคท้ายหรือไม่ จำเลยฎีกาสรุปใจความได้ว่า ที่จำเลยเพิ่งยื่นบัญชีระบุพยานภายหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้วเพราะทนายความคนก่อนละทิ้งคดีและมิใช่ความประสงค์ของตัวจำเลย จึงมีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาได้ และพยานที่จำเลยอ้างเป็นพยานสำคัญที่จะทำให้การวินิจฉัยของศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรม เห็นว่า การกระทำของทนายความที่จำเลยแต่งตั้งย่อมเป็นการกระทำแทนตัวจำเลยด้วย ดังนั้นจำเลยจะยกเรื่องทนายความของตนละทิ้งหน้าที่ขึ้นเป็นข้ออ้างมิได้ และเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วได้ความว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 26 กรกฎาคม 2539 มีการเลื่อนคดีหลายครั้งโดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากจำเลย เช่นอ้างว่าอยู่ในระหว่างหาทนายความคนใหม่ ต่อมาเมื่อมีการนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกวันที่ 27 พฤษภาคม 2540 โดยจำเลยแต่งตั้งนายอนุชา แสงระรวย เป็นทนายความคนใหม่แล้วจำเลยก็มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานคงยื่นแต่เพียงคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่น จำเลยเพิ่งมายื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อวันที่ 7กรกฎาคม 2540 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่ 2 โดยไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงเพิ่งมายื่นคำร้อง ทั้งที่จำเลยควรจะยื่นคำร้องในโอกาสแรกที่พึงกระทำได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคแรก ก็บัญญัติว่าคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานซึ่งหมายถึงวันสืบพยานนัดแรกในคดีเรื่องนั้นไม่น้อยกว่า7 วัน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในคดี เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการยื่นบัญชีระบุพยานล่าช้าเกิดจากการไม่เอาใจใส่ของทนายความจำเลย มีลักษณะส่อไปในทางประวิงคดี จึงไม่มีเหตุอันควรที่จะรับบัญชีระบุพยานจำเลยไว้ และจำเลยไม่อาจอ้างเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอันเกิดจากความผิดของจำเลยเอง ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียเปรียบเพราะการดำเนินคดีต้องล่าช้าไป อันเป็นการปฏิเสธความยุติธรรม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นในคำแก้ฎีกาของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายืน