คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาทขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,567,362.10 บาทโดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหากศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,976,386.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยก่อน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์วงเงิน 1,000,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัวร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่ง ณ วันทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็ม.อาร์.อาร์. เท่ากับ 14.75 ต่อปี โดยวิธีคำนวณดอกเบี้ยทบต้นตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคาร หากปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีไปมากกว่าวงเงินยอมเสียดอกเบี้ยในส่วนที่เบิกเกินในอัตราเดียวกันหรืออัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้คิดได้แล้วแต่อัตราไหนจะสูงกว่ากัน เพื่อเป็นหลักประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยที่ 1จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 42267 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง วงเงิน1,000,000 บาท พร้อมหนี้อุปกรณ์ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีหรืออัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่ธนาคารโจทก์กำหนด และตกลงด้วยว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยที่ 1 ยอมชำระส่วนที่ขาดจนครบและตกลงเอาประกันภัยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกัน หากผิดนัดไม่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยและโจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแทนไป จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดและยอมให้โจทก์นำเงินดังกล่าวทบเข้ากับจำนวนเงินที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์อีกในวงเงิน 1,000,000บาท มีข้อตกลงเช่นเดียวกันกับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม2538 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ 2จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 36749 พร้อมสิ่งปลูกสร้างประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 มีต่อโจทก์ วงเงิน 1,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ19 ต่อปี หรืออัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์กำหนด หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ยอมให้โจทก์บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ได้อีกจนครบและจำเลยที่ 2 ตกลงจะเอาประกันภัยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดโดยเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย หากโจทก์ชำระแทนไปจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดและยอมให้โจทก์นำเงินดังกล่าวทบกับจำนวนเงินที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดเท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้โจทก์คิดได้ตามกฎหมาย ในการที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ จำเลยที่ 3 ในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในหนังสือยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมใด ๆ กับโจทก์ อันเป็นการให้สัตยาบันและถือว่าเป็นหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1และที่ 2 ต่อมายอดหนี้ในบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้โจทก์จนเกินวงเงิน โจทก์เตือนให้จำเลยที่ 1 นำเงินเข้าบัญชีเพื่อลดยอดหนี้หลายครั้งแต่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามเพียงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2539 จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์จำนวน 2,147,239.85 บาท โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้พร้อมไถ่ถอนจำนอง จำเลยทั้งสามได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว เมื่อครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าวจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง ถือว่าบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2539ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 2,178,067.91 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวแบบไม่ทบต้นอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ นับจากวันที่ 1 มกราคม 2540จนถึงวันฟ้อง แต่เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 นำเงินชำระหนี้บางส่วนเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท โจทก์ต่ออายุสัญญาประกันภัยและชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 ไปรวมเป็นเงิน 13,172 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,567,362.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 24 ต่อปี ของต้นเงิน 2,165,049.47 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินโฉนดเลขที่ 42267 และที่ดินโฉนดเลขที่ 36749 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้งสองแปลงออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,976,386.78 บาทต่อโจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.75 ต่อปีของต้นเงิน 2,000,000 บาทและอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 26,386.78 บาท แบบทบต้นนับแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ 2539 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2539 และอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 2,026,386.78 บาท แบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2540จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2540 และของต้นเงิน 1,976,386.78 บาท นับแต่วันที่ 23 มกราคม 2540 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2540 อัตราร้อยละ 24 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวแบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในวงเงิน 1,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินโฉนดเลขที่ 42267 และที่ดินโฉนดเลขที่ 36749 พร้อมสิ่งปลูกสร้างวงเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 และที่ 2ชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาทขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย ในปัญหาแรกนั้นโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนนี้ว่าจำเลยที่ 1 ตกลงเอาประกันสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย หากผิดนัดไม่ชำระเบี้ยประกันภัยและโจทก์ชำระแทนไป จำเลยที่ 1ยอมให้โจทก์นำเงินดังกล่าวทบเข้ากับจำนวนเงินที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุด โจทก์ต่ออายุสัญญาและชำระเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยที่ 1ไปรวมเป็นเงิน 13,172 บาท แล้วมีคำขอท้ายฟ้องให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,567,362.10 บาท โดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหาก ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,976,386.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยก่อนที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ”

พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิจารณาต่อไป

Share