แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนที่จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีเลิกจ้างนั้น ต้องมีลักษณะเข้าข้อกำหนดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสี่ คือนายจ้างและลูกจ้างจะต้องทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือตั้งแต่แรกที่เริ่มจ้าง ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยเพิ่งจะมาทำสัญญาจ้างฉบับแรกภายหลังลงมือทำงานแล้ว 1 เดือน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนเมื่อจำเลยเลิกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ การเลิกจ้างที่จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 วรรคหนึ่ง นั้นจะต้องเป็นการจ้างที่คู่สัญญาไม่ได้กำหนดไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร เมื่อจำเลยจ้างโจทก์โดยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือมีกำหนดระยะเวลาจ้างไว้และจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ในวันที่ครบกำหนดในสัญญาจ้างจึงเป็นกรณีที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญาจ้างดังกล่าวไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งยี่สิบสามสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยในฐานะประธานกรรมการผู้ชำระบัญชีขององค์การเหมืองแร่ในทะเลกับคณะได้มีมติให้จ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเข้าทำงานเป็นลูกจ้างทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินและการชำระบัญชี ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามโดยโจทก์ทั้งยี่สิบสามไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าโจทก์ทั้งยี่สิบสามมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามอายุงานและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นอกจากนี้การเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบสามได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งยี่สิบสามพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามตารางท้ายคำฟ้อง
จำเลยทั้งยี่สิบสามสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งยี่สิบสามไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะโจทก์ทั้งยี่สิบสามเป็นลูกจ้างขององค์การเหมืองแร่ในทะเล จำเลยไม่ใช่นายจ้างของโจทก์ทั้งยี่สิบสาม ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ยุบองค์การเหมืองแร่ในทะเล และคณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์การเหมืองแร่ในทะเลชำระบัญชี โดยตั้งคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีโดยมีจำเลยซึ่งเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรธรณีเป็นประธานกรรมการจำเลยได้ลงนามในหนังสือว่าจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเป็นลูกจ้างชั่วคราวระหว่างชำระบัญชีโดยกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ต่อมาได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเมื่อครบกำหนดตามที่ระบุในสัญญา การชำระบัญชีขององค์การเหมืองแร่ในทะเลเป็นงานในโครงการเฉพาะไม่ใช่งานปกติของธุรกิจที่มีกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแน่นอน และเป็นงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวมีกำหนดการสิ้นสุดไม่เกินสองปี เข้าข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย โจทก์ทั้งยี่สิบสามทราบดีก่อนเข้าทำสัญญาเป็นลูกจ้างชั่วคราวการเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามจึงเป็นธรรมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการแทนองค์การเหมืองแร่ในทะเลจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเพื่อช่วยชำระบัญชีในงานโครงการเฉพาะกิจที่มิใช่งานอันเป็นปกติธุรกิจหรือการค้าขององค์การเหมืองแร่ในทะเลมีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของสัญญาจ้างแน่นอนและระยะเวลาจ้างไม่เกิน 2 ปี ทั้งเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งยี่สิบสามสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์ทั้งยี่สิบสามอุทธรณ์ข้อแรกว่าองค์การเหมืองแร่ในทะเลมีทรัพย์สินและหนี้สินจำนวนมากมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทต้องขยายระยะเวลาการชำระบัญชีออกไปเป็นช่วง ๆ ระยะเวลาผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วแต่ไม่มีทีท่าว่าจะชำระบัญชีเสร็จ ประกอบกับมีการต่ออายุสัญญาออกไปคราวละ 3 เดือนหลายครั้ง สัญญาจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามจึงไม่เป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและระยะเวลาสิ้นสุดของงานไว้แน่นอน ถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนนั้น ประเด็นนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าเดิมจำเลยจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามทำงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2540 โดยมิได้ทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือ ต่อมาภายหลังจึงได้เริ่มทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเป็นหนังสือฉบับแรกตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาจ้างตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2540 ถึงวันที่ 31กรกฎาคม 2540 เมื่อสัญญาจ้างดังกล่าวถึงกำหนดจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3ถึงโจทก์ที่ 19 ส่วนโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 20 ถึงโจทก์ที่ 23 จำเลยทำสัญญาจ้างต่อไปอีกรวมคนละ 3 ครั้งแล้ว จึงเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดสัญญาจ้างฉบับสุดท้าย คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการชำระบัญชีขององค์การเหมืองแร่ในทะเลไว้ชัดเจนและนโยบายของรัฐได้แสดงแจ้งชัดถึงกรอบเวลาการชำระบัญชีไม่เกิน 2 ปี ทั้งปริมาณงานตลอดจนหนี้สินที่โจทก์ทั้งยี่สิบสามกล่าวอ้างมิใช่อุปสรรคที่ทำให้ไม่อาจกำหนดเวลาชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นได้แน่นอน เชื่อว่าการชำระบัญชีอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้เสร็จในเวลาไม่เกิน 2 ปีศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนที่จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีเลิกจ้างนั้นจำต้องมีลักษณะเข้าข้อกำหนดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสี่ด้วย กล่าวคือนายจ้างและลูกจ้างจะต้องทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง เมื่อจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามเป็นหนังสือตั้งแต่แรกที่เริ่มจ้างในวันที่ 1เมษายน 2540 แต่เพิ่งจะมาทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือฉบับแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม2540 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยทุกประการก็ยังไม่เข้าข้อยกเว้นของกฎหมายดังกล่าวเมื่อจำเลยเลิกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งยี่สิบสามพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบสามข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่โจทก์ทั้งยี่สิบสามอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า เคยปรากฏตัวอย่างการชำระบัญชีขององค์การเหมืองแร่ในทะเลที่ยุบเลิกไปแล้วใช้เวลาชำระบัญชีถึง 9 ปีเศษ ซึ่งลักษณะงานและสภาพขององค์การคล้ายกับกิจการขององค์การเหมืองแร่ในทะเลโจทก์ทั้งยี่สิบสามเชื่อว่ามีโอกาสทำงานกับจำเลยไปอีกนานจึงมิได้เตรียมตัวหางานสำรองไว้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามภายหลังจากระยะเวลาการจ้างเดิมสิ้นสุดไปแล้วจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เห็นว่า การเลิกจ้างที่จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 วรรคหนึ่ง นั้นจะต้องเป็นการจ้างที่คู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามโดยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือมีกำหนดระยะเวลาจ้างไว้และจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามในวันที่ครบกำหนดในสัญญาจ้าง เช่นนี้จึงเป็นกรณีที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบสามตามข้อกำหนดในสัญญาจ้างดังกล่าวจึงไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 23จำนวน 16,950 บาท 57,330 บาท 29,750 บาท 16,950 บาท 10,730 บาท 23,020 บาท 16,950 บาท 23,020 บาท 23,020 บาท 11,990 บาท 10,150 บาท7,210 บาท 11,340 บาท 23,020 บาท 15,990 บาท 17,990 บาท 16,950 บาท21,620 บาท 17,990 บาท 123,360 บาท 119,190 บาท 73560 บาท และ53,970 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันเลิกจ้าง (โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 19วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 20 ถึงโจทก์ที่ 23 วันที่ 31มีนาคม 2541) ซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง