แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุ ตัววงจรไฟฟ้าของบริษัทผู้เสียหายได้หายไปโดยไม่ทราบตัวคนร้าย จำเลยกับพวกเป็นผู้ที่ช่วยเหลือผู้เสียหายในการสืบหาตัวคนร้ายและร่วมมือในการวางแผนจับกุมคนร้ายได้ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยและผู้เสียหายออกหนังสือรับรองการผ่านงานระบุว่าจำเลยเป็นลูกจ้างที่ดีที่ทำงานหนักเสมอมาจนถึงเวลาที่ได้ลาออกจากบริษัทด้วยเหตุผลส่วนตัว ดังนี้หากจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิดแล้ว ผู้เสียหายย่อมจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างที่เหลืออยู่และคงจะไม่ออกหนังสือรับรองการผ่านงานให้แก่จำเลย แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการกระทำในลักษณะที่ร่วมกับคนร้ายเพื่อลักทรัพย์ แต่จำเลยมิได้มีเจตนาร้ายหรือประสงค์ต่อผลที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยโดยไม่มีเหตุผล จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือในการวางแผนจับกุมคนร้ายที่ลักทรัพย์ของผู้เสียหายและจำเลยไม่ได้รับประโยชน์ ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๓๕ (๑) (๗) (๑๑), ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๓๕ (๑) (๗) (๑๑) วรรคสาม จำคุก ๓ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม๒๕๓๗ เวลากลางคืน ได้มีคนร้ายเข้ามาลักเอาตัววงจรไฟฟ้าที่ไม่ได้คุณภาพอยู่ในถุงสีดำซึ่งจำเลยนำไปวางไว้ที่ด้านหลังโรงงานของผู้เสียหาย
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้ร่วมกระทำผิดหรือไม่ โจทก์มีนายรัฐพันธ์ พันธชาติ ผู้จัดการบริหารทั่วไป และนายธวัฒชัย พานิชพึ่งรัถผู้จัดการฝ่ายผลิต พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๗ เวลา๘ นาฬิกา นายรัฐพันธ์ได้รับแจ้งจากนายอนงค์ เพิ่มเกษม พนักงานรักษาความปลอดภัยว่า เมื่อเวลาประมาณ ๐.๔๐ นาฬิกา ได้จับกุมคนร้ายซึ่งลักตัววงจรไฟฟ้า ๑ คนคือนายวิวัฒน์ มลิวัลย์ และนางกรองแก้วผู้ช่วยผู้จัดการได้โทรศัพท์บอกนายรัฐพันธ์ว่าจำเลยกับพวกร่วมกระทำความผิดด้วย นายรัฐพันธ์กับนายธวัฒชัยจึงมาพบจำเลยกับพวกแต่จำเลยกับพวกมีความหวาดกลัวเกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัย นายรัฐพันธ์จึงพาจำเลยกับพวกไปพักที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ จำเลยกับพวกรับกับนายรัฐพันธ์และนายธวัฒชัยว่าเป็นผู้นำเอาตัววงจรไฟฟ้าใส่ถุงสีดำไปไว้ที่หลังโรงงาน และติดต่อให้บุคคลภายนอกมารับของ โดยจำเลยกับพวกถูกข่มขู่ว่าหากไม่นำตัววงจรไฟฟ้าออกไปจะถูกทำร้าย และก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ผู้เสียหายถูกคนร้ายลักตัววงจรไฟฟ้าไปจำนวนหนึ่งนายธวัฒชัยจึงมอบหมายให้จำเลยกับพวกสืบหาตัวคนร้าย โดยทำทีว่าไปติดต่อเพื่อร่วมมือในการลักทรัพย์ จนจำเลยกับพวกทราบชื่อคนร้ายว่าชื่อนายนพพร อ่อนสมศรีจึงได้รายงานให้นายรัฐพันธ์ และนายธวัฒชัยทราบ เห็นว่า นายรัฐพันธ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการบริหารทั่วไป และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายให้แจ้งความในความผิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๗ ตามใบมอบอำนาจเอกสารหมายจ.๓ ได้ทราบเรื่องตั้งแต่แรกว่า จำเลยกับพวกเป็นผู้นำตัววงจรไฟฟ้าไปวางไว้ด้านหลังโรงงานและโทรศัพท์เรียกคนร้ายมาเอาทรัพย์ดังกล่าว แต่นายรัฐพันธ์ก็มิได้นำตัวจำเลยกับพวกไปมอบให้พนักงานสอบสวน กลับนำตัวจำเลยกับพวกไปพักที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ และนายรัฐพันธ์ได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ในวันรุ่งขึ้นได้พาจำเลยกับพวกไปรับประทานอาหาร กับมอบเงินส่วนตัวให้จำเลยกับพวกคนละ ๑,๐๐๐ บาท และบอกว่าจะไปไหนก็ไป ถ้ามีอะไรให้ช่วยนายรัฐพันธ์ก็จะช่วย หลังจากนั้นนายรัฐพันธ์ได้ส่งเงินค่าจ้างที่เหลือและเงินพิเศษที่นายรัฐพันธ์ขอนายจ้างให้แก่จำเลยกับพวกคนละ ๓๐,๐๐๐ บาทเศษ นอกจากนี้นายรัฐพันธ์ได้ดำเนินการให้นายจ้างออกใบรับรองการผ่านงานให้จำเลยอีกด้วย จากพฤติการณ์ของนายรัฐพันธ์ที่ปฏิบัติต่อจำเลยหลังเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน และคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ตัววงจรไฟฟ้าของบริษัทได้หายไปโดยไม่ทราบตัวคนร้าย นายรัฐพันธ์และนายธวัฒชัยได้เรียกจำเลยกับพวกไปพบเพื่อให้ช่วยสืบหาตัวคนร้าย โดยก่อนที่จำเลยกับพวกจะรับทำงานนี้ ทางผู้เสียหายได้ประกันชีวิตให้แก่จำเลยกับพวกไว้ จำเลยกับพวกสืบทราบว่าคนร้ายคือ นายนพพร จึงรายงานให้นายรัฐพันธ์ทราบแล้ว และจำเลยนำสืบต่อไปว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ คนร้ายได้ติดต่อให้จำเลยนำตัววงจรไฟฟ้าออกไปให้โดยขู่ว่าหากไม่นำออกมาจะฆ่าจำเลยจำเลยได้แจ้งให้นายรัฐพันธ์และนายธวัฒชัยทราบ โดยนายรัฐพันธ์และนายธวัฒชัยได้วางแผนให้จำเลยกับพวกนำตัววงจรไฟฟ้าที่ไม่ได้คุณภาพไปวางไว้เพื่อจะได้จับกุมคนร้าย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยกับพวกเป็นผู้ที่ช่วยเหลือผู้เสียหายในการสืบหาตัวคนร้ายและร่วมมือในการวางแผนเพื่อจับกุมคนร้ายได้ในวันเกิดเหตุนอกจากนี้ผู้เสียหายยังโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยจำนวน ๓๖,๒๒๗.๒๕ บาทกับออกหนังสือรับรองการผ่านงานระบุว่า จำเลยเป็นลูกจ้างที่ดีที่ทำงานหนักเสมอมาจนถึงเวลาที่ได้ลาออกจากบริษัทด้วยเหตุผลส่วนตัว หากจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิดแล้ว ผู้เสียหายย่อมจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างที่เหลืออยู่และคงจะไม่ออกหนังสือรับรองการผ่านงานให้แก่จำเลย แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการกระทำในลักษณะที่ร่วมกับคนร้ายเพื่อลักทรัพย์ แต่จำเลยมิได้มีเจตนาร้ายหรือประสงค์ต่อผลที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับจำเลยโดยไม่มีเหตุผล จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือในการวางแผนจับกุมคนร้ายที่ลักทรัพย์ของผู้เสียหายและจำเลยไม่ได้รับประโยชน์แต่อย่างใดถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.