คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ประกอบการค้าข้าวโดยซื้อข้าวส่งไปจำหน่ายต่างประเทศในปี พ.ศ.2509 และ 2510 โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ข) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชี และรายรับจากการค้าประเภทการค้าข้าวหมายความรวมถึงเงินที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายข้าวซึ่งไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นข้าวที่ได้มาหรือได้รับช่วงมาจากผู้ประกอบกิจการตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด)
โจทก์อ้างว่าข้าวที่โจทก์ส่งไปจำหน่ายเป็นข้าวที่โจทก์ซื้อจากบรรดาโรงสีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร มีใบเสร็จรับเงินที่โรงสีข้าวนั้นๆ ออกให้เป็นหลักฐานเมื่อทางนำสืบรับฟังได้ว่าผู้ที่ขายข้าวให้โจทก์ตามใบเสร็จดังกล่าวมิใช่ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า 2 ชนิด1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จนั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ซื้อข้าวจากผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด) โจทก์จึงต้องมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับในการที่ขายข้าวที่ซื้อมาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อข้าวมาจากโรงสีซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าข้าวตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า โรงสีดังกล่าวออกใบเสร็จรับเงินให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าเงินเพิ่ม เบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาลอีก ขอให้ศาลพิพากษาถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าของจำเลย กับเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์

จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทโจทก์ประกอบกิจการค้าข้าวโดยซื้อข้าวในประเทศส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ มีปัญหาเฉพาะรายรับจากการส่งข้าวไปจำหน่ายยังต่างประเทศของโจทก์ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม2509 และตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม 2510 ซึ่งจะต้องวินิจฉัยตามประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 และโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าวบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ข) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชีอัตราภาษีการค้าดังกล่าวนั้นและรายรับจากการค้าประเภทการค้าข้าวหมายความรวมถึงเงินที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายข้าวซึ่งไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นข้าวที่ได้มาหรือได้รับช่วงมาจากผู้ประกอบกิจการตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด)

มีปัญหาว่าใบเสร็จรับเงินตามเอกสารชุดหมาย จ.1 ถึง จ. 24 จำนวน 677 ฉบับที่บริษัทโจทก์อ้างว่าผู้ขายข้าวออกให้แก่บริษัทโจทก์นั้น เป็นหลักฐานแสดงว่าเป็นข้าวที่ได้มาหรือได้รับช่วงมาจากผู้ประกอบกิจการตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าหรือไม่ ข้อนี้โจทก์ไม่มีพยานซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าโรงสีหรือตัวแทนที่ขายข้าวให้โจทก์มาเบิกความยืนยันว่าได้ขายข้าวให้แก่โจทก์ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.24 พยานโจทก์คงมีแต่กรรมการผู้จัดการและพนักงานของบริษัทโจทก์เอง ซึ่งนำสืบลอย ๆ ว่าโจทก์รับซื้อข้าวจากโรงสีต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร เมื่อโรงสีที่ขายข้าวนำใบเสร็จรับเงินมาเก็บเงิน เจ้าหน้าที่ของบริษัทโจทก์จะตรวจดูว่าใบเสร็จรับเงินนั้นถูกต้องหรือไม่ คือมีชื่อโรงสีผู้ประกอบการค้า ตำบลที่อยู่และหมายเลขทะเบียนการค้าหรือไม่ หากเห็นว่าถูกต้อง ก็จ่ายเงินให้ไปนั้น เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวไม่พอรับฟังว่าที่บริษัทโจทก์ซื้อข้าวตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นการซื้อข้าวจากผู้ประกอบการค้าประเภทโรงสี ตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าได้ พยานจำเลยมีนายวิวัฒน์พนักงานภาษีโท กรมสรรพากร นายชุมศรีพนกงานตรวจสอบบัญชีโท กรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่สรรพากรจังหวัดต่าง ๆ ประมาณ 20 จังหวัดมาเบิกความประกอบกับเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.118 ว่า ใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.24 จำนวน 677 ฉบับนั้น เป็นใบเสร็จรับเงินที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือไม่มีชื่อโรงสีหรือผู้ประกอบการค้าข้าวอยู่ในท้องที่ตามที่ระบุไว้ในใบเสร็จรับเงินและชื่อตามใบเสร็จรับเงินไม่ได้จดทะเบียนการค้าเลขทะเบียนการค้าในใบเสร็จรับเงินบางฉบับเป็นของผู้อื่นและประกอบการค้าประเภทอื่น ชื่อโรงสีในใบเสร็จรับเงินบางฉบับจดทะเบียนเลิกกิจการไปก่อนวันที่ลงในใบเสร็จรับเงินชื่อในใบเสร็จรับเงินบางรายการตรงกับผู้ประกอบกิจการโรงสี แต่ผู้ประกอบกิจการโรงสีที่แท้จริงยืนยันว่า ไม่เคยขายข้าวให้โจทก์และใบเสร็จรับเงินไม่ใช่ของตนด้วย เห็นว่าพยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ รับฟังได้ว่าผู้ที่ขายข้าวให้บริษัทโจทก์ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.24 มิใช่เป็นผู้ประกอบการค้าประเภท 2 ชนิด 1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ได้ซื้อข้าวมาจากผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด) โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าจากรายรับในการขายข้าวที่ซื้อมาดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับใบเสร็จรับเงินรวม 677 ฉบับตามเอกสารชุดหมาย จ.1 ถึง จ.24 เป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษายืน

Share