แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านตามฟ้องในลักษณะที่ต้องรื้อถอนไปอย่างสังหาริมทรัพย์ จึงไม่ใช่กรณีฟ้องเรียกบ้านในสภาพที่ปลูกอยู่บนที่ดินอย่างอสังหาริมทรัพย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านดังกล่าวได้ มีเพียงสิทธิที่จะเข้าไปรื้อถอนบ้านตามสัญญาโดยจำเลยไม่มีสิทธิมาขัดขวางห้ามปรามเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านตามฟ้อง เป็นการ พิพากษาบังคับไม่ตรงกับสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงขายบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 16 ตำบลสำโรงพลันอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่โจทก์ในราคา 60,000 บาท โดยทำสัญญาจะซื้อจะขาย ให้โจทก์รื้อถอนบ้านดังกล่าวภายใน 1 ปี เมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยไม่ยอมให้โจทก์รื้อถอนบ้านที่ซื้อขายกัน ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านที่ตกลงขายให้แก่โจทก์ และยินยอมให้โจทก์รื้อถอนบ้านที่ซื้อขาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ทำสัญญาขึ้นโดยทุจริต คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยทำสัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 60,000 บาท แก่โจทก์หากไม่ชำระให้รื้อบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 16 ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึงจังหวัดศรีสะเกษ ส่งมอบแก่โจทก์แทนการชำระหนี้ดังกล่าว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 16 ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษและยินยอมให้โจทก์รื้อบ้านไปได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายบ้านของจำเลยให้แก่โจทก์ในราคา 60,000 บาท โดยให้รื้อถอนไปภายใน 1 ปี ครบกำหนดแล้วขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและยินยอมให้โจทก์เข้าไปรื้อถอนจำเลยให้การปฏิเสธว่า ไม่เคยทำสัญญาขายบ้านให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องถือเป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาบ้านคือ 60,000 บาทศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านตามฟ้องและยินยอมให้โจทก์รื้อบ้านไปได้ จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจำนวน 60,000 บาท ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 16 ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ไว้และได้รับชำระเงินครบถ้วนแล้วโดยตกลงให้โจทก์รื้อถอนบ้านไปภายใน 1 ปี แต่เมื่อครบกำหนด 1 ปีแล้ว จำเลยไม่ยินยอมให้โจทก์เข้าไปรื้อบ้าน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยตกลงขายบ้านให้แก่โจทก์แล้ว แต่ต่อมาโจทก์ได้บรรยายฟ้องอีกว่าได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน ทั้งยังได้บรรยายอีกว่าหากจำเลยประสงค์จะได้บ้านคืน โจทก์ยินยอมคืนให้ ทำให้จำเลยไม่ทราบแน่ชัดมูลความผิดเป็นสัญญาซื้อขายหรือสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาขายฝาก ทำให้จำเลยสับสน หลงต่อสู้นั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายให้เข้าใจว่าจำเลยตกลงขายบ้านให้แก่โจทก์โดยทำเป็นสัญญาจะซื้อจะขายครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมให้โจทก์รื้อไป ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารและยินยอมให้โจทก์รื้อบ้านนั้น เป็นการบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนแล้ว ส่วนที่บรรยายว่า หากจำเลยประสงค์จะได้บ้านคืนโจทก์ยินยอมคืนให้เป็นเพียงข้อเสนอของโจทก์ขึ้นใหม่ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังเท่านั้น ซึ่งจำเลยก็ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ แสดงว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องโจทก์ได้ดีแล้ว คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายโดยมิได้มีเจตนาจะใช้บังคับอย่างสัญญาจะซื้อจะขาย แต่เจตนาเป็นการกู้ยืมเงินกันเท่านั้น การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายมาฟ้องบังคับแก่จำเลย จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตนั้นเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านตามฟ้องในลักษณะที่ต้องรื้อถอนไปอย่างสังหาริมทรัพย์จึงไม่ใช่กรณีฟ้องเรียกบ้านในสภาพที่ปลูกอยู่บนที่ดินอย่างอสังหาริมทรัพย์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านดังกล่าวได้ มีเพียงสิทธิที่จะเข้าไปรื้อถอนบ้านตามสัญญาโดยจำเลยไม่มีสิทธิมาขัดขวางห้ามปรามเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านตามฟ้อง เป็นการพิพากษาบังคับไม่ตรงกับสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247”
พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามมิให้จำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวและขัดขวางในการที่โจทก์เข้ารื้อบ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 16 ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ให้ยกคำขอที่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านดังกล่าวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1