คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุก โจทก์ในฐานะผู้เสียหายได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม และยังเป็นโจทก์ในคดีแพ่งคดีนี้อีกโดยขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทรายเดียวกัน ต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาถึงที่สุดแล้วว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา โดยต้องฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่บุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365, 83 และขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องคดีส่วนอาญา และได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีส่วนอาญา ซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยไว้แล้ว ศาลอนุญาต แล้วรับฟ้องคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองเรือนและที่พิพาทมากว่า 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้รื้อเรือนเก่าแล้วปลูกใหม่ในที่เดิม โดยจำเลยที่ 2 ช่วยทำพิธียกเสาเอก จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้รับจ้างรื้อและปลูกใหม่ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนบ้านเรือนออกจากที่พิพาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองที่พิพาท พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยบุกรุกที่พิพาทในคดีนี้ พนักงานอัยการได้ฟ้องคดีอาญา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ข้อหาบุกรุกและโจทก์คดีนี้ได้เป็นโจทก์ร่วมในคดีนั้นด้วย ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย (โจทก์คดีนี้) แต่จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านในที่พิพาทโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของนายสุวัน เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1347/2520 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด มูลคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องในคดีอาญาดังกล่าว ข้อวินิจฉัยที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในการวินิจฉัยคดีอาญา ในการพิพากษาคดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โดยต้องฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จะฟังว่าเป็นของจำเลยที่ 1 มิได้

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share