คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์แปรสภาพจากบริษัทเอกชนจำกัดเดิมมาเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โจทก์ย่อมต้องรับโอนไปซึ่งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ และความรับผิดต่าง ๆ จากบริษัทเอกชนเดิมทั้งสิ้น ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 185 จึงเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มิใช่การโอนสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรมระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอนในอันที่จะต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
เมื่อสำเนาคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต เลตเตอร์ออฟเครดิตและตั๋วแลกเงินเอกสารท้ายคำฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง มีข้อความปรากฏชัดว่า บริษัท บ. ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้ภายในประเทศเพื่อประโยชน์แก่บริษัท ย. ในการซื้อสินค้าจากบริษัท ย. พอเข้าใจได้ว่า บริษัท บ. ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อธนาคารโจทก์เพื่อซื้อสินค้าใด โจทก์จ่ายสินค้าใด ให้ผู้ใด และเป็นเงินจำนวนเท่าใด และที่จำเลยที่ 2 สามารถให้การต่อสู้คดีได้นั้น แสดงว่าโจทก์ได้บรรยายคำฟ้องประกอบกับเอกสารท้ายคำฟ้องดังกล่าวชัดแจ้งพอให้จำเลยที่ 2 ได้เข้าใจข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และคำขอบังคับชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
หนังสือชำระหนี้แทน ที่จำเลยที่ 3 ทำไว้ต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนบริษัท บ. ไม่มีข้อความตอนใดอาจแปลไปได้เลยว่าจะให้หนี้เดิมของบริษัท บ. ระงับไป จึงเป็นเพียงสัญญาที่มีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ซึ่งยอมชำระหนี้แทนบริษัท บ. เท่านั้น มิใช่การแปลงหนี้ใหม่ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัท บ. ย่อมไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
ส่วนในเรื่องอายุความ หากจำเลยไม่ได้ตั้งประเด็นในเรื่องอายุความไว้ โจทก์ย่อมไม่จำเป็นต้องนำสืบ และการที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้เช่นนี้ ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 692 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้สำหรับการใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งไม่มีกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ ยังไม่เกินกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ 4,604,223.63 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้จำนวน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,952,614.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 1,500,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์แปรสภาพจากบริษัทเอกชนจำกัดเดิมมาเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้วโจทก์ย่อมต้องรับโอนไปซึ่งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิ และความรับผิดต่าง ๆ จากบริษัทเอกชนจำกัดเดิมทั้งสิ้น ทั้งนี้ เป็นไปตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 185 กรณีจึงเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มิใช่การโอนสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรมระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอนในอันที่จะต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น เมื่อสำเนาคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต เลตเตอร์ออฟเครดิตแและตั๋วแลกเงินพร้อมคำแปลเอกสารท้ายคำฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ซึ่งเอกสารท้ายคำฟ้องดังกล่าวมีข้อความปรากฏชัดว่า บริษัทบางกอกผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม จำกัด ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้ภายในประเทศเพื่อประโยชน์แก่บริษัทยูนิซันเทรดดิ้ง จำกัด ในการซื้อสินค้า แม้คำแปลเอกสารท้ายคำฟ้องดังกล่าวจะสับสนไปบ้าง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า เพื่อซื้อสินค้าใด โจทก์จ่ายค่าสินค้าใด ให้ผู้ใด และเป็นเงินจำนวนเท่าใดแล้ว ประกอบกับจำเลยที่ 2 ก็ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในหนี้ของบริษัทบางกอกผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม จำกัด ต่อโจทก์เพราะหนี้ตามคำฟ้องเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทดังกล่าวกับโจทก์ ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 สิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องขาดอายุความ 10 ปี แล้ว เพราะหลังจากที่โจทก์ชำระหนี้ค่าสินค้าให้ผู้ขายแทนบริษัทบางกอกผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม จำกัด ไป โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่บริษัทดังกล่าวเสียภายในเวลาที่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้นับแต่เวลาที่โจทก์ได้ชำระแทนบริษัทนั้นไป แต่โจทก์กลับใช้สิทธิบอกกล่าวให้บริษัทดังกล่าวและจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดร่วมกับบริษัทนั้น ดังนี้ ที่จำเลยที่ 2 สามารถให้การต่อสู้คดีได้เช่นนั้น แสดงว่าโจทก์ได้บรรยายคำฟ้องประกอบกับเอกสารท้ายคำฟ้องดังกล่าวชัดแจ้งพอให้จำเลยที่ 2 ได้เข้าใจข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ก็ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ตามหนังสือชำระหนี้แทนเอกสารหมาย จ. 21 เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนแปลงตัวลูกหนี้นั้น เมื่อไม่มีข้อความตอนใดอาจแปลไปได้เลยว่าจะให้หนี้เดิมของบริษัทบางกอกผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม จำกัด ระงับ แม้จะรับฟังได้ตามข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ว่าโจทก์ตกลงด้วยตามหนังสือชำระหนี้แทนเอกสารหมาย จ. 21 ก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ตกลงให้หนี้เดิมระงับไป โจทก์จึงมีสิทธิเลือกที่จะบังคับชำระหนี้ได้ทั้งสองทางโดยมิให้จำนวนเกินไปกว่ามูลหนี้ที่แท้จริงเท่านั้น หนังสือชำระหนี้แทนเอกสารหมาย จ. 21 จึงเป็นเพียงสัญญาที่จำเลยที่ 3 ยอมชำระหนี้แทนบริษัทบางกอกผลิตภัณฑ์นมและเครื่องดื่ม จำกัด ซึ่งมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 แต่มิใช่การแปลงหนี้ใหม่ หนี้เดิมจึงยังไม่ระงับ ดังที่โจทก์ยังได้รับชำระหนี้รายนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีล้มละลายอยู่ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทดังกล่าวย่อมไม่หลุดพ้นจากความรับผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 2 อ้างมาในฎีกานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกันกับคดีนี้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การนำสืบโจทก์นอกฟ้องและคดีขาดอายุความ หากฝ่ายจำเลยไม่ได้ตั้งประเด็นในเรื่องอายุความไว้ โจทก์ย่อมไม่จำเป็นต้องนำสืบว่าสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ ข้อที่ว่าสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความไม่ใช่ข้อหาหรือข้ออ้างอันอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหรือคำขอบังคับที่ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องโดยแจ้งชัด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง การนำสืบของโจทก์จึงไม่ได้เป็นการนำสืบนอกฟ้อง ส่วนในปัญหาเรื่องอายุความนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทดังกล่าวถูกฟ้องล้มละลายและถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในวันที่ 26 กรกฎาคม 2526 โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ. 26 ในวันที่ 6 กันยายน 2526 อายุความของหนี้รายนี้จึงสะดุดหยุดลง และการที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้เช่นนี้ ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 692 ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2537 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ 10 ปี สำหรับการใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 192/30 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share