คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1543/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า จำเลยได้ต่อยผู้เสียหาย และเอาอาวุธปืนจี้ที่หน้าท้องผู้เสียหายมีเสียงดังแชะกระสุนปืนไม่ลั่น แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนตบกกหูซ้ายผู้เสียหายบาดเจ็บก็ตาม ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีก่อนเกี่ยวกับความผิดของจำเลยจนศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้วย่อมถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องสิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288

จำเลยให้การปฏิเสธ และว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2519 ของศาลแขวงชลบุรี

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยในคดีนี้เป็นกรรมเดียวกันกับการกระทำของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1238/2519 ของศาลแขวงชลบุรี ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยการกระทำผิดของจำเลยในคราวเดียวกับที่พนักงานอัยการศาลแขวงชลบุรีได้ฟ้องจำเลยและพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วนั้น เป็นการฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนพยายามฆ่าผู้เสียหายกับการกระทำที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหาย ถือได้ว่า เป็นกรรมเดียวเมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องย่อมระงับ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายดังฟ้องหรือไม่ พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากคำพยานโจทก์ว่า จำเลยได้ต่อยนายสุวัฒน์ผู้เสียหาย และชักอาวุธปืนสั้นออกมาจี้หน้าท้องผู้เสียหายและมีเสียงดังแชะทำนองกระสุนปืนไม่ลั่น แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนตบกกหูซ้ายของผู้เสียหายบาดเจ็บ ส่วนจำเลยต่อสู้ว่า จำเลยใช้ตะไบตบกกหูซ้ายผู้เสียหาย และจำเลยได้ถูกฟ้องศาลแขวงชลบุรีในข้อหาทำร้ายร่างกายในการกระทำดังกล่าว ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ฟ้องคดีนี้อีกไม่ได้

ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ก่อให้เกิดความผิดคดีนี้ขึ้นนั้น แม้หากจะฟังข้อเท็จจริงดังโจทก์นำสืบ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว แม้จะหลายฐานความผิด ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียว หาอาจแยกฟ้องคดีแต่ละฐานความผิดเป็นรายคดีไปได้ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแขวงชลบุรีเกี่ยวกับความผิดของจำเลยจนศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป การที่โจทก์มาฟ้องอีกเป็นคดีนี้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)

พิพากษายืน

Share