แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำ เข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์” มีโทษตาม มาตรา 89 นั้น ไม่มีข้อความใดบัญญัติถึงโทษฐานมีไว้เพื่อขายก็ตาม แต่มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัตินี้ได้นิยามว่า “ขาย” ไว้ว่า หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน ซึ่งออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขาย จึงเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 13และพิพากษาลงโทษตาม มาตรา 89 ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายก็โดยอาศัยบทบัญญัติของมาตรา 4 ซึ่งให้คำนิยามของคำว่า “ขาย” ให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายอันอันถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 13 ซึ่งมีบทบัญญัติลงโทษไว้ในมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 และขณะเดียวกันก็ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขายเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนหนึ่ง ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นฟ้องที่ขัดแย้งหรือฟ้องที่ไม่มีบทบัญญติของกฎหมายให้ลงโทษและไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์จำนวน115 เม็ด ไว้เพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนบางส่วน จำนวน 4 เม็ดขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 5, 6, 13, 62, 89, 106, 116 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน จำนวน 111 เม็ดไว้เพื่อขายเท่านั้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 89 ให้จำคุก 5 ปีลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า ในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ห้ามผลิต ขาย ฯลฯ และมาตรา 89 บัญญัติลงโทษว่า ผู้ใดทำผิดมาตรา 13 ต้องระวางโทษห้าปีถึงยี่สิบปี ฯลฯไม่ได้บัญญัติถึงโทษฐานมีไว้ในความครอบครองเพื่อขาย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อาจลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติของมาตราดังกล่าวนั้นได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง จะบัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขายนำเข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์” และมาตรา 89 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 13 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี” โดยที่ไม่มีข้อความใดบัญญัติถึงโทษฐานมีไว้เพื่อขายก็ตาม แต่ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันนี้ก็ได้บัญญัตินิยามคำว่า “ขาย” ไว้ว่า หมายความรวมถึงจำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยนี้มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายการกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 13 และพิพากษาลงโทษตามมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้นได้
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะฟ้องว่าจำเลยมีไว้ในความครอบครองเพื่อขายและขาย ทั้งที่ตามกฎหมายแล้วไม่มีข้อหา หรือโทษฐานมีไว้ในความครอบครองเพื่อขาย เมื่อศาลฟังว่าจำเลยไม่ได้ขายแล้ว ข้อหามีไว้เพื่อขายจึงต้องตกไปและควรยกฟ้องด้วย การฟ้องสองข้อหาในข้อหาที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าเป็นความผิดทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงต่อสู้คดีนั้น เห็นว่า ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายก็โดยอาศัยบทบัญญัติของมาตรา 4 ซึ่งให้คำนิยามของคำว่า “ขาย” ให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายอันถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 13 ซึ่งมีบทบัญญัติลงโทษไว้ในมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ดังที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนหนึ่งไว้เพื่อขายโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และขณะเดียวกันก็ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบังอาจขายเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกจำนวนหนึ่ง จึงไม่ถือว่าเป็นฟ้องที่ขัดแย้งหรือเป็นฟ้องที่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ลงโทษไว้ดังที่จำเลยฎีกา ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุมทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือหลงต่อสู้คดีแต่อย่างใด ที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน