คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3568/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำยึดที่พิพาทเพื่อนำมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง จำเลยขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้ว โจทก์ให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ล่าช้า ดังนี้ ตามคำให้การของโจทก์คงกล่าวแต่เพียงว่า ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาด แต่ไม่ได้อ้างว่าสมคบกันอย่างไร และมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง จึงเป็นคำให้การที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้แต่ประการใด คดีต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องว่า จำเลยได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง และทรัพย์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาท

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยจ่ายชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ระหว่างพิจารณา โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ตามระยะเวลาที่กำหนด ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำยึดทรัพย์พิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลยเพื่อนำมาขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องโดยจำเลยขายทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องนานมาแล้ว โจทก์กับจำเลยไม่ได้มีหนี้ต่อกัน โจทก์และจำเลยสมคบกันโดยเจตนาจะฉ้อฉลเอาทรัพย์ของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลย ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาดให้ล่าช้าขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์พิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง จำเลยขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้ว โจทก์ให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ล่าช้า เห็นว่า ตามคำให้การโจทก์คงกล่าวแต่เพียงว่าผู้ร้องสมคบกับจำเลยในการที่จะประวิงการขายทอดตลาด แต่ไม่ได้อ้างว่าสมคบกันอย่างไรและมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง เช่นนี้ จึงเป็นคำให้การที่มิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้แต่ประการใด คดีต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้องว่าจำเลยได้ขายทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ร้อง และทรัพย์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแล้ว ฉะนั้นโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาท
พิพากษายืน

Share