คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันนัดพิจารณาคู่ความโต้เถียง+ หน้าที่นำสืบแล้ว ต่างแถลง+ ว่าต่างฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน + ขอให้ศาลสินิจฉัยคดีตลอด + จะขอแถลงการ์ประกอบภายใน 7 วัน ถ้าถึงกำหนดไม่ + ขอให้ถือว่าไม่ติดใจแถลง+ ถือว่าคู่ความขอปิดคดีของตน+แล้ว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแถลง+พยายในภายหลัง ศาลก็ไม่มี +ใดจะอนุญาตได้ + เลยรับว่าเป็นสามีภรรยากับ + แต่หย่ากันแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของจำเลย +สืบ ว่าหย่ากันแล้ว เมื่อจำเลย+ ก็ต้องถือตามคำฟ้องของโจทก์ว่า +จำเลยเป็นสามีภรรยากัน + เหตุที่โจทก์จะหย่าขาดจากจำเลยได้ + ไม่นั้น โจทก์มีหน้าที่นำสืบ แต่จำเลย +ได้หย่าขาดกับโจทก์ 5 ปี และจำเลยแต่งงานกับหญิงอื่น เป็นการกระทำอัน+ปฎิปักษ์ต่อโจทก์ และทอดทิ้งขาดการ+ต่อโจทก์ ถึง 5 ปี ทั้งจำเลย+ว่าได้หย่าขาดจากโจทก์แล้วดังนี้ +มีเหตุอันควรหย่าได้ตาม ป.พ.พ.+00(3)
ต่างฝ่ายต่างอ้างว่า ตนมีสินเดิมอีกฝ่าย+ไม่มี แต่ต่างฝ่ายก็ไม่สืบพยายตามข้ออ้าง ต้องถือว่าไม่มีสินเดิมทั้ง 2 ฝ่าย โจทก์ว่านาเป็นสินสมรส จำเลยว่าเป็น+ ของจำเลย โจทก์ว่าสวนยางเป็นสินสมรส
จำเลยไม่ให้การถึงเลย ดังนี้ต้องสันนิษฐานว่า นาและสวนยางเป็นสินสมรสตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา1466 วรรค 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สมรสเป็นสามีภรรยากับโจทก์ตาม ก.ม.เมื่อ ๓๘ ปีมาแล้ว โจทก์มีสินเดิม ๑๐๐ บาท เป็นทองรูปพรรณ เกิดสมรสคือจำเลยรับมฤดกนา ๑ แปลง และโจทก์จำเลยสร้างสวนยาง ๑ แปลง บัดนี้ จำเลยไม่เลี้ยงดูโจทก์ฉันสามีภรรยา และจำเลยได้ไปมีภรรยาใหม่ จึงฟ้องขอหย่า และแบ่งสินสมรส
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นภรรยาจำเลยจริง แต่ได้หย่าขาดและแบ่งทรัพย์เสร็จแล้ว โจทก์ไม่มีสินเดิม นา ๑ แปลงที่โจทก์กล่าว เป็นสินเดิมของจำเลย แต่สวนยางจำเลยไม่กล่าวถึง และรับว่า จำเลยได้แต่งงานกับหญิงอื่นแล้ว
ถึงวันนัดพิจารณา โจทก์จำเลยเถียงกันเรื่องหน้าที่นำสืบ แล้วคู่ความแถลงต่อศาลว่า ต่างฝ่ายไม่ขอสืบพยานด้วยกัน คู่ความแถลงการ์ประกอบภายใน ๗ วัน ถ้าถึงกำหนดไม่แถลงขอให้ถือว่า ไม่ติดใจแถลง ศาลได้กำหนดนัดังคำพิพากษา
โจทก์ได้ยื่นคำแถลงการณ์ต่อศาล จำเลยรับสำเนาไปแล้ว รุ่งขึ้นจำเลยยื่นคำร้องติดใจที่จะดำเนินคดีโดยวิธีสืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาต และพิพากษาให้โจทก์ จำเลยหย่าขาดจากกัน โจทก์จำเลยต่างไม่มีสินเดิม ที่นาและสวนยางพิพาทเป็นสินสมรส ให้แบ่งให้โจทก์ ๑ ส่วน จำเลย ๒ ส่วน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความได้ตกลงพร้อมใจกันแถลงต่อศาลว่า ไม่ขอติดใจสืบพยาน ขอให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะวินิจฉัยคดี ตลอดทั้งเรื่อง ดังนี้ก็นับว่า คู่ความขอปิดคดีของตนเสร็จแล้ว จำเลยจะร้องขอสืบพยายใหม่ให้ผิดต่อถ้อยคำที่ตกลงกับโจทก์และแถลงต่อศาลไว้แล้วนั้นไม่ได้ และศาลไม่มีเหตุอันใดที่จะอนุญาตให้รื้อฟื้นคดีที่เสร็จการพิจารณาแล้วมาให้จำเลยนำสืบพยานใหม่ตามคำร้องของจำเลยได้ ส่วนในหน้าที่นำสืบนั้น จำเลยรับว่าเป็นสามีภรรยากับโจทก์ แต่หย่ากันแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำสืบว่าหย่ากันแล้ว เมื่อจำเลยไม่สืบ ก็ต้องถือตามคำฟ้องว่า ยังเป็นสามีภรรยากัน
โจทก์จะหย่าขาดจากจำเลยหรือไม่ ดจทก์มีหน้าที่นำสืบ แต่จำเลยรับมาในคำให้การว่า จำเลยได้หย่ากับโจทก์มา ๕ ปี และได้แต่งงานใหม่แล้ว กระทำการเป็นปฎิปักษ์ต่อโจทก์ และทอดทิ้งขาดการอุปการะต่อโจทก์ถึง ๕ ปี โจทก์มีเหตุอันควรขอหย่าได้ ตามมาตรา ๑๕๐๐(๓) ทั้งจำเลยก็ถือว่าได้หย่าขาดกับโจทก์ จึง+ให้หย่า
ในเรื่องสินเดิม ต่างฝ่ายต่างอ้างว่า คนมีสินเดิมอีกฝ่ายหนึ่งไม่มี ต่างฝ่ายต่างไม่สืบพยานตามข้อกล่าวอ้าง ต้องถือว่า ไม่มีสินเดิมทั้งสองฝ่าย โจทก์ว่านาเป็นสินสมรส จำเลยว่าเป็นสินเดิมของจำเลย และสวนยางโจทก์ว่าเป็นสินสมรส จำเลยไม่ให้การถึงเลย ต้องสันนิษฐานว่า นาและสวนยางเป็นสินสมรสตาม ม.๑๔๖๖ วรรค+
จึงพิพากษายืนตาม

Share