แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ซื้อที่ดินมือเปล่าโดยทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนที่อำเภอเมื่อปรากฏว่าผู้ขายเป็นเจ้าของที่ดินนั้นแต่เพียงครึ่งเดียว และยังได้ขายให้ผู้อื่นไป โดยมอบการครอบครองแก่เขาให้ครอบครองที่ดินส่วนนั้นไปแล้วด้วยดังนี้ ผู้ซื้อไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเนื้อที่ 12 ไร่เศษเป็นของโจทก์ที่ 1, ที่ 2 สามีภรรยา 6 ไร่เศษโดยซื้อมาจากนางถิ อีก 6 ไร่เศษเป็นของโจทก์ที่ 3 โจทก์ทั้งสามได้ครอบครองตลอดมา ภายหลังนางลิได้เอาที่ดินนี้ทั้ง 12 ไร่เศษไปขายให้จำเลยทำสัญญากันต่ออำเภอโดยไม่สุจริตและสมยอมกัน จึงขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายนั้นเสีย
จำเลยต่อสู้ว่า ซื้อโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนแล้ว ที่พิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์จะขอให้เพิกถอน หรือทำลายสัญญาซื้อขายไม่ได้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อนำสืบของโจทก์ว่า ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า ส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ที่ 3 ครอบครองมาอีกส่วนหนึ่งเป็นของนางมลิ นางมลิสละสิทธิโอนขายให้โจทก์ที่1, 2 เป็นเจ้าของครอบครองมา นางมลิย่อมหมดสิทธิ ไม่มีอำนาจโอนแก่จำเลย กรณีไม่เข้าอยู่ในความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงนี้ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ในข้อกฎหมายว่า กรณีไม่เข้าอยู่ในความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
จึงพิพากษายืน