แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาท้ายฟ้องระบุราคารถยนต์ที่ซื้อขายเป็นเงิน 130,650 บาท โดยตกลงกันในข้อ 2 ว่า ผู้ซื้อจะชำระราคาแก่ผู้ขายเป็นรายเดือน เดือนละ 4,355 บาท รวม 30 เดือนและระบุไว้ในข้อ 10 ว่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายยังเป็นของผู้ขายโดยไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าผูขายจะได้รับชำระค่าซื้อครบถ้วน ตามสัญญาแล้ว สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 ไม่ใช่เป็นสัญญาเช่าซื้อ แม้จะมีข้อ 11 ระบุว่าหากผู้ซื้อผิดสัญญา สัญญาเลิกกันทันทีโดยผู้ขายมิต้องบอกกล่าวและมีสิทธิเอารถคืนโดยไม่ต้องคืนเงินที่ผู้ซื้อชำระแล้ว ก็เป็นเพียงการรักษาผลประโยชน์ของผู้ขายเท่านั้น หาทำให้สัญญาซื้อขาย กลับกลายเป็นสัญญาเช่าซื้อไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อผ่อนส่งรถยนต์ของโจทก์ โดยจำเลยจะผ่อนชำระราคา 30 เดือน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ไม่เคยชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์ได้รถยนต์คันนี้คืนมาในสภาพเสียหายจึงได้ซ่อมแล้วขายไปต่ำกว่าราคาที่ตกลงขายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินส่วนที่ขาดอยู่พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาตามฟ้องแทนนายวิชัย โจทก์ขายรถยนต์ไปในราคาต่ำโดยไม่สุจริต มูลหนี้ตามฟ้องเป็นเรื่องเช่าซื้อ ฟ้องขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน คู่ความตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยสัญญาท้ายฟ้อง หากศาลวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาซื้อขายผ่อนส่ง จำเลยที่ 1 ยอมชำระหนี้เต็มตามฟ้อง หากวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อก็ให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ตามสัญญาดังกล่าวระบุราคารถยนต์ที่ซื้อขายเป็นเงิน 130,650 บาท โดยตกลงกันในข้อ 2 ว่า ผู้ซื้อจะชำระราคาแก่ผู้ขายเป็นรายเดือน เดือนละ 4,355 บาท รวม 30 เดือนและระบุไว้ในข้อ 10 ว่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายยังเป็นของผู้ขายโดยไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าผู้ขายจะได้รับชำระค่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ดังนี้ เห็นว่า สัญญาดังกล่าวก็คือสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข โดยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขคือผู้ซื้อได้ชำระราคาแก่ผู้ขายครบถ้วนแล้วตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นสัญญาซื้อขายผ่อนส่งตามที่โจทก์เรียกนั่นเองสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความให้เห็นว่าเป็นเรื่องเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 อันว่าด้วยลักษณะเช่าซื้อแต่อย่างใด สัญญาท้ายฟ้องจึงไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ ส่วนที่สัญญาข้อ 11 ระบุว่า หากผู้ซื้อผิดสัญญา สัญญาเลิกกันทันทีโดยผู้ขายมิต้องบอกกล่าวและมีสิทธิเอารถคืนโดยไม่ต้องคืนเงินที่ผู้ซื้อชำระแล้วนั้นก็เป็นเพียงการรักษาผลประโยชน์ของผู้ขายมิให้เสียหายเกินกว่าความจำเป็นเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาและเป็นข้อตกลงยินยอมของคู่สัญญาที่ใช้บังคับกันได้ไม่มีกฎหมายห้ามทั้งหาทำให้สัญญาซื้อขายกลับกลายเป็นสัญญาเช่าซื้อไปไม่ ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์