คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 930/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายจับกุมผู้ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าควบคุมออกนอกเขตควบคุมโดยมิได้รับอนุญาต จำเลยมาดูของกลางแล้วพูดว่าของเหล่านี้ตำรวจคุมมาเองแล้วยังจับกุมผู้เสียหายถามว่าตำรวจที่คุมเป็นใคร จำเลยชี้หน้าผู้เสียหายและพูดว่ามึงนั่นแหละเป็นคนนั่งคุมที่หน้ารถไปแล้วมาจับกุม ดังนี้ เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่าผู้เสียหายขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังรถยนต์ที่บรรทุกของไป หาได้นั่งคุมที่หน้ารถยนต์ไม่ และผู้เสียหายก็ได้จับกุมผู้กระทำผิดตามหน้าที่ ข้อความที่จำเลยกล่าวจึงไม่เป็นความจริง ถือได้ว่าจำเลยกล่าวโดยเจตนาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ไม่ต้องพิจารณาว่าจำเลยกล่าวข้อความดังกล่าวโดยสุจริตหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขณะผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นพนักงานตำรวจกำลังจับกุมผู้กระทำผิดลักลอบนำสินค้าควบคุมออกนอกเขตควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยพูดดูหมิ่นผู้เสียหายว่าเป็นผู้นั่งหน้ารถคุมของไปเอง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษปรับ ๑,๐๐๐บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกล่าวข้อความดังกล่าวโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม และเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน จำเลยไม่มีความผิดพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะสิบตำรวจตรีสมศักดิ์ กำลังทรัพย์ ผู้เสียหายกับพวกเข้าจับกุมผู้ขับรถยนต์บรรทุกน้ำตาลทรายอันเป็นสินค้าควบคุมนั้น มีจำเลยอยู่รู้เห็นด้วยและเมื่อนำของกลางมายังสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขมราฐ จำเลยได้ตามมาดูของกลาง จำเลยได้พูดว่าของเหล่านี้ตำรวจคุมมาเองแล้วยังจับกุม สิบตำรวจตรีสมศักดิ์ถามว่าที่ว่าคุมนั้นเป็นใคร จำเลยชี้หน้าสิบตำรวจตรีสมศักดิ์ และพูดว่ามึงนั่นแหละเป็นคนนั่งคุมที่หน้ารถไปแล้วมาจับกุม เห็นว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าสิบตำรวจตรีสมศักดิ์ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังรถยนต์ที่บรรทุกของไป หาได้นั่งคุมที่หน้ารถยนต์ไม่ และสิบตำรวจตรีสมศักดิ์ก็ได้ทำการจับกุมผู้กระทำผิดตามหน้าที่ ข้อความที่จำเลยกล่าวจึงไม่เป็นความจริง ถือได้ว่าจำเลยกล่าวโดยเจตนาดูหมิ่นเจ้าพนักงานดังฟ้อง จึงไม่ต้องพิจารณาว่าจำเลยกล่าวข้อความดังกล่าวโดยสุจริตหรือไม่
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share