คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2140/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายกับจำเลยเป็นพี่น้องกันอยู่บ้านเดียวกัน ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน เกิดทะเลาะโต้เถียงกันแล้วหยุดไป ต่อมาผู้ตายใช้มีดปลายแหลมตัวมีดยาว 1 คืบ กว้าง 1 นิ้ว แทงจำเลยก่อน แล้วเดินเข้าหาจำเลยอีก จำเลยจึงเอาไม้กระดานใช้ปิดฝาท่อระบายน้ำซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุตีผู้ตายที่ศีรษะครั้งเดียวถึงตาย ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่ไม้นั้นยาว 99 เซนติเมตร หนา 1 นิ้ว กว้าง 10 เซนติเมตร แทนที่จะตีที่มือเพื่อให้มีดหลุด หรืออวัยวะส่วนอื่นเพื่อมิให้ผู้ตายเข้าทำอันตรายจำเลยได้กลับตีไปที่ศีรษะ จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ริบไม้ของกลางศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยใช้ไม้ของกลางซึ่งเป็นไม้ที่หาได้ใกล้ตัวในขณะนั้นตีที่ศีรษะผู้ตายทีเดียว ยังไม่พอฟังว่าจำเลยอาจแลเห็นผลของการกระทำว่าจะถึงตาย จำเลยจึงมีความผิดฐาน ฆ่าคนโดยไม่เจตนา โดยป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 290ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุก 2 ปี โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ใช้ไม้กระดานของกลางยาว49 เซนติเมตร หนาประมาณ 1 นิ้ว กว้าง 10 เซนติเมตร หนัก 1.2 กิโลกรัมตามรายละเอียดในบันทึกหมาย จ.5 เป็นอาวุธตีประทุษร้ายผู้ตาย 1 ครั้งถูกที่ศีรษะและผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่ถูกจำเลยตีประทุษร้ายดังกล่าวนั้นจริง ปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า และจำเลยกระทำเพื่อป้องกันตัวหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์ไม่มีพยานที่เห็นเหตุการณ์ในขณะที่จำเลยทำร้ายผู้ตายมานำสืบ โจทก์คงมีแต่นางสุดใจ วรชีวัน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับผู้ตายและจำเลยมานำสืบเพียงว่า ก่อนเกิดเหตุที่จำเลยจะทำร้ายผู้ตายเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ได้ยินจำเลยกับผู้ตายทะเลาะโต้เถียงกันเสียงดังเกี่ยวกับเรื่องบ้านที่พักและเรื่องเงิน โดยผู้ตายนั่งไกวเปลบุตรผู้ตายอยู่ตรงประตูบ้านส่วนจำเลยนั่งอยู่ที่ระเบียงข้างบ้านนางละมัยห่างบ้านจำเลยประมาณ 3 เมตรโดยมีนายป๊อกกับนายอ้อยเพื่อนของจำเลยนั่งอยู่ด้วย จำเลยกับผู้ตายเถียงกันบ้าง หยุดไปบ้าง ในเวลา 3 ทุ่มเศษ ผู้ตายก็ปิดประตูบ้าน ต่อมาก็ได้ยินเสียงเอะอะและดังโพละ 1 ครั้ง ที่บ้านจำเลย เมื่อนางสุดใจออกไปดูเห็นผู้ตายล้มนอนอยู่ที่พื้นดินห่างหน้าบ้านจำเลยประมาณ 3 เมตร และเห็นจำเลยยืนกุมมืออยู่ จำเลยบอกนางสุดใจว่าผู้ตายแทงจำเลยก่อน ผู้ตายมีบาดแผลแตกที่ศีรษะเหนือหูค่อนไปทางท้ายทอย และมีเลือดออกที่ปาก ผู้ตายสลบอยู่นางสุดใจกับพวกนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลศิริราช เมื่อนางสุดใจกลับจากโรงพยาบาลก็ได้พบมีดปลายแหลมเล่มหนึ่ง ตัวมีดยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 2 นิ้ว ตกอยู่ที่หน้าประตูบ้านจำเลยห่างจากที่ผู้ตายล้มนอนประมาณ3 เมตร และเมื่อจำเลยกลับมาบ้านในคืนเกิดเหตุนี้ จำเลยได้ชี้ให้นางสุดใจดูไม้กระดานของกลางที่จำเลยใช้ทำร้ายผู้ตาย ไม้ดังกล่าวเป็นไม้กระดานที่ใช้ปิดท่อระบายน้ำ จากคำเบิกความของนางสุดใจดังกล่าวข้างต้น หากจะถือว่าการที่จำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นพี่น้องกันโต้เถียงกันเป็นเรื่องสมัครใจวิวาทกันก็เป็นแต่เพียงทั้ง 2 ฝ่ายสมัครใจวิวาทกันด้วยปากหรือทางวาจาเท่านั้น กรณีไม่อาจถือได้ว่าจำเลยกับผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันได้นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของนางสุดใจต่อไปว่า จนเวลาประมาณ3 ทุ่มเศษ ผู้ตายก็ปิดประตูหน้าบ้านและเถียงไปบ้าง หยุดไปบ้าง ส่วนจำเลยคงนั่งอยู่ที่เดิมกับเพื่อนอีก 2 คน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้เถียงอะไรกับผู้ตายอีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการโต้เถียงกันระหว่างผู้ตายกับจำเลยได้ขาดตอนไปแล้ว ต่อมาจึงได้เกิดเสียงเอะอะและดังโพละที่บ้านจำเลย ซึ่งเมื่อนางสุดใจออกไปดูก็เห็นผู้ตายถูกทำร้ายล้มนอนอยู่ และเห็นจำเลยยืนอยู่ในบริเวณนั้นและจำเลยบอกนางสุดใจในทันทีนั้นเองว่าผู้ตายแทงจำเลยก่อน ตามคำเบิกความของนางสุดใจดังกล่าวจึงเป็นที่เห็นได้ว่า เหตุการณ์ตอนที่ผู้ตายกับจำเลยเกิดทำร้ายกันขึ้นนั้น เป็นเหตุการณ์คนละตอนกับการที่ผู้ตายกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงกันในตอนต้น โจทก์จึงไม่มีพยานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ทำร้ายผู้ตายก่อนหรือจำเลยเป็นผู้ทำร้ายผู้ตายแต่ฝ่ายเดียวแต่จำเลยมีตัวจำเลย นายยุทธพงศ์ กาญนินทร และนายนิวัฒน์หรืออ้อยพัฒนะ มาเบิกความยืนยันว่าผู้ตายเป็นผู้ตรงเข้ามาใช้มีดแทงจำเลยก่อนโดยเฉพาะนายนิวัฒน์หรืออ้อย นางสุดใจพยานโจทก์ก็เบิกความว่าขณะเกิดเหตุนายนิวัฒน์นั่งคุยอยู่กับจำเลยจริง ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวข้างต้น จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ การที่ผู้ตายเป็นฝ่ายใช้มีดปลายแหลมตัวมีดยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 2 นิ้วแทงจำเลยก่อน แล้วผู้ตายยังเดินเข้าไปหาจำเลยอีก การกระทำของผู้ตายดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้จำเลยคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจจะใช้มีดดังกล่าวแทงทำร้ายจำเลยซ้ำอีก ดังนั้นการที่จำเลยคว้าเอาไม้กระดานที่ใช้ปิดฝาท่อระบายน้ำของกลางซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นเอง มิใช่จำเลยตระเตรียมเอามาล่วงหน้า ตีผู้ตายที่ศีรษะเพียงครั้งเดียว ประกอบกับผู้ตายก็เป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลย และผู้ตายกับจำเลยอาศัยอยู่ร่วมบ้านเรือนเดียวกัน โดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองอะไรกันมาก่อน ตามพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยอาจแลเห็นผลแห่งการกระทำได้ว่าผู้ตายจะถึงแก่ความตายกรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายดังที่โจทก์ฎีกา แต่โดยที่ไม้กระดานของกลางที่จำเลยคว้าเอามาใช้เป็นอาวุธนั้นยาวถึง 49 เซนติเมตร หนาประมาณ 1 นิ้ว กว้าง 10 เซนติเมตร และจำเลยก็เบิกความรับว่าผู้ตายมีรูปร่างไล่เลี่ยกับจำเลย ทั้งมีดปลายแหลมที่ผู้ตายถืออยู่ก็มีความยาวเพียงประมาณ 1 คืบเท่านั้น แทนที่จำเลยจะใช้ไม้กระดานดังกล่าวตีทำร้ายผู้ตายที่มือที่ใช้ถือมีดเพื่อให้มีดหลุดจากมือผู้ตาย หรือใช้ไม้กระดานดังกล่าวตีทำร้ายอวัยวะส่วนอื่นของผู้ตายเพื่อมิให้ผู้ตายสามารถเข้าทำอันตรายจำเลยได้ จำเลยกลับใช้ไม้กระดานดังกล่าวตีทำร้ายผู้ตายที่บริเวณศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ประกอบด้วยมาตรา 68 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share