คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับพวกได้นำเงินมาลงหุ้นกับจำเลยและ ว.ตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อหุ้นส่วนตายห้างหุ้นส่วนย่อมเลิกกัน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนได้
ใบเสร็จรับเงินค่าหุ้นโจทก์ได้ส่งภาพถ่ายมาพร้อมกับคำฟ้องจำเลยให้การรับว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์และผู้ขอลงทุนได้ระบุเป็นการล่วงหน้าว่ารับเงินเป็นค่าลงหุ้นแต่ความจริงเป็นการรับเงินกู้ยืม เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับในชั้นพิจารณา จำเลยก็เบิกความว่าเป็นใบรับเงินที่จำเลยทำขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอีก แม้ใบรับเงินที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์ตามที่จำเลยให้การและเบิกความรับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา84(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและนายวิรัชสามีซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนโจทก์ทั้งเก้าและบุคคลอื่น ๆ เข้าหุ้นตั้งโรงเรียนเทพกาญจนาเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ แล้วจะจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในภายหลัง โจทก์ทั้งเก้าได้เข้าหุ้นด้วยตามจำนวนเงินท่จำเลยออกใบรับค่าหุ้นไว้ให้ จำเลยและนายวิรัชได้นำเงินของผู้เป็นหุ้นส่วนไปซื้อที่ดินและสร้างอาคารเรียนบนที่ดินนั้น ต่อมาโรงเรียนเทพกาญจนาได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินกิจการ จำเลยและนายวิรัชไม่ยอมจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ต่อมานายวิรัชและนายพิเชษฏฐ์หุ้นส่วนได้ถึงแก่ความตาย จำเลยไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนและไม่ยอมให้ตรวจบัญชี หากให้จำเลยดำเนินกิจการต่อไปก็มีแต่จะเพิ่มความเสียหายแก่หุ้นส่วน ประกอบกับมีหุ้นส่วนถึงแก่ความตายโจทก์จึงบอกกล่าวให้เลิกห้างหุ้นส่วนและให้ชำระบัญชี แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาเลิกห้างหุ้นส่วนและตั้งผู้ชำระบัญชี

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กิจการและทรัพย์สินของโรงเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยผู้เดียว จำเลยกับนายวิรัชสามีไม่เคยชวนโจทก์หรือผู้ใดเข้าเป็นหุ้นส่วน แม้จะฟังว่ากิจการโรงเรียนเป็นหุ้นส่วนก็ไม่มีเหตุที่โจทก์จะขอเลิกได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโรงเรียนเทพกาญจนาและให้มีการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1061

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งเก้าได้ลงหุ้นเป็นเงินตามจำนวนที่ระบุในฟ้องตั้งโรงเรียนเทพกาญจนากับจำเลยและนายวิรัช หาใช่เป็นการให้จำเลยกับนายวิรัชกู้ยืมมาลงทุนดังที่จำเลยอ้างไม่ และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โรงเรียนเทพกาญจนาเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หุ้นส่วนสองคนถึงแก่ความตาย ห้างหุ้นส่วนย่อมเลิกกัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนได้

ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าใบเสร็จรับเงินค่าหุ้นไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารดังกล่าวโจทก์ได้ส่งภาพถ่ายมาพร้อมกับคำฟ้อง จำเลยให้การรับว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์และผู้ขอลงทุนได้ระบุเป็นการล่วงหน้าว่ารับเงินเป็นค่าลงหุ้นเพราะตั้งใจจะจดทะเบียนโรงเรียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในเวลาต่อไป เมื่อกิจการของโรงเรียนดำเนินไปด้วยดี ความจริงเป็นการรับเงินกู้ยืม เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับในชั้นพิจารณา จำเลยก็เบิกความว่าเป็นใบรับเงินที่จำเลยทำขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอีก ดังนั้นถึงแม้ใบรับเงินที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ว่าเป็นใบรับเงินของจำเลยที่ออกให้โจทก์ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การและเบิกความรับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1)

พิพากษายืน

Share