แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
กรมสามัญศึกษาโจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาลการฟ้องคดีของโจทก์ย่อมแสดงออกโดยการกระทำของอธิบดีซึ่งเป็นผู้แทนเมื่อเห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปโดยไม่มีสิทธิคืนโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องคดีได้ อ.ก.พ.กระทรวงไม่มีอำนาจที่จะกระทำการแทนโจทก์ ฉะนั้นจะมีมติอย่างไรในเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจของโจทก์ในการฟ้องคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นพิเศษตำแหน่งผู้อำนวยการกองโรงเรียนรัฐบาล กรมสามัญศึกษา ในระหว่างปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2516 เดิมจำเลยรับราชการจังหวัดได้ย้ายเข้ามารับราชการส่วนกลางประจำกรม จึงมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามกฎหมายจำเลยได้เช่าบ้านผู้มีชื่ออยู่ระยะหนึ่งและเบิกค่าเช่าบ้านตามสิทธิ ต่อมาจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 118/23 ซอยมิตรบำรุง แขวงวังทองหลางเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ลงในที่ดินของจำเลยเอง จำเลยจึงเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านดังกล่าว แต่ได้มอบหมายให้นายประโยชน์ ศิลปะซึ่งเป็นญาติเป็นผู้ยื่นเรื่องราวขออนุญาตปลูกสร้างบ้าน ขอเลขบ้าน และรับเป็นเจ้าของบ้านแทนจำเลย เพื่อจำเลยจะเบิกเงินค่าเช่าบ้านหลังนี้จากทางราชการ แล้วจำเลยพร้อมทั้งครอบครัวได้ขออนุญาตย้ายบ้านเข้ามาอยู่ในบ้านที่ปลูกใหม่นี้และขอเบิกค่าเช่าบ้านหลังนี้ต่อโจทก์ ซึ่งความจริงจำเลยไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากโจทก์ได้ตามกฎหมาย โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยเช่าบ้านของนายประโยชน์ ศิลปะ และเสียค่าเช่าบ้านจริง จึงอนุญาตให้จำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2513 จนกระทั่งจำเลยของดเบิกเงินค่าเช่าบ้านตั้งแต่เดือนมกราคม 2517 รวมจำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านจากโจทก์ไปทั้งสิ้น 52,800 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยปฏิเสธตามหนังสือของจำเลยลงวันที่17 มีนาคม 2520 จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2520 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 7,590 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นจำนวน 0,390 บาทขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยใช้เงิน 60,390 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 52,800 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า บ้านเลขที่ 118/23 ตามฟ้องเป็นของนายประโยชน์ศิลปะ ให้จำเลยเช่าเดือนละ 1,500 บาท ที่ดินที่ปลูกบ้านไม่ใช่ของจำเลยจำเลยไม่เคยมอบหมายให้นายประโยชน์ ศิลปะ ยื่นเรื่องราวขอปลูกบ้านขอเลขบ้าน รับเป็นเจ้าของบ้านแทนจำเลย จำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากโจทก์ 52,800 บาท ตามที่จำเลยมีสิทธิเบิกได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า บ้านเลขที่ 118/23 เป็นของจำเลยและภริยา จำเลยไม่มีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากทางราชการ คดีไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 52,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2520 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แปดร้อยบาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2517 มีผู้ใช้ชื่อว่า “ศูนย์ข้าราชการครูกรมวิสามัญศึกษา (เดิม)” มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามผู้ประพฤติมิชอบในวงราชการ กล่าวโทษจำเลยว่าเรียกรับเงินค่าบริการในการฝากนักเรียนเข้าโรงเรียน บีบบังคับผู้รับเหมาก่อสร้างให้มอบทรัพย์สินและสร้างบ้านให้แก่ตนฟรี กับจำเลยเบิกค่าเช่าจากทางราชการเป็นเท็จ ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.7 ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการส่งเรื่องให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทำการสอบสวน นายประธาน ดาบเพชรและนางสาวอรสา บุญประสาท เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินสอบสวนแล้ว มีความเห็นว่าบ้านเลขที่ 118/23 ซอยมิตรบำรุงเป็นบ้านของจำเลยและภรรยาจำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากทางราชการเป็นเท็จ ได้ทำรายงานการสอบสวนไว้ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมายจ.2 ถึง จ.6 ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการจึงส่งเรื่องให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการสอบสวนจำเลยทางวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาพร้อมทั้งเรียกเงินค่าเช่าบ้าน 52,800 บาทคืน ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.9 กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนจำเลยทางวินัยแล้วมีความเห็นว่า บ้านเลขที่ 118/23 เป็นของจำเลย นายประโยชน์ ศิลปะ รับสมอ้างเป็นเจ้าของเพื่อให้จำเลยมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากทางราชการ จำเลยใช้สิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากทางราชการเป็นเท็จ ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.1 แต่ อ.ก.พ.กระทรวงศึกษาธิการมีความเห็นว่า บ้านที่จำเลยเช่าเป็นบ้านของนายประโยชน์ ศิลปะ จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ จำเลยไม่มีความผิดปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีความเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน จึงมีคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการและชดใช้เงินค่าเช่าบ้านที่เบิกไปคืน
จำเลยนำสืบว่า เดิมจำเลยรับราชการเป็นครูที่จังหวัดสุโขทัย แล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็นศึกษาธิการอำเภอ ศึกษาธิการจังหวัด และเมื่อประมาณเดือนมกราคม 2512 ถูกย้ายเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองโรงเรียนรัฐบาล กรมวิสามัญศึกษา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมสามัญศึกษา จำเลยมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามสิทธิ โดยได้เช่าบ้านอยู่ที่แขวงบางซ่อน เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร จำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านดังกล่าวจากทางราชการอยู่นานประมาณ 1 ปี แล้วย้ายไปเช่าบ้านเลขที่ 118/23 ตามฟ้องเมื่อประมาณต้นปีพ.ศ. 2513 บ้านหลังนี้นายประโยชน์ ศิลปะ เป็นเจ้าของเป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้าง ขอเลขบ้านและซื้อวัสดุก่อสร้างเอง โดยปลูกบ้านลงในที่ดินของนายเปลื้อง ชัชวาลย์ พ่อตาของจำเลย นายประโยชน์ ศิลปะ เป็นหลานของนายเปลื้อง ชัชวาลย์ ปลูกบ้านดังกล่าวเพื่อให้บุตรหลานที่จังหวัดสุโขทัยที่มาศึกษาในกรุงเทพฯ ได้มีที่พักอาศัย นายประโยชน์ ศิลปะ เป็นผู้เสียภาษีโรงเรือน ต่อมานายเปลื้อง ชัชวาลย์ ยกที่ดินให้จำเลยเพื่อให้นำที่ดินไปจำนองธนาคารเอาเงินให้นายเปลื้อง ชัชวาลย์ ใช้ค่าปลูกสร้างบ้านให้นายประโยชน์ ศิลปะ เมื่อนายเปลื้อง ชัชวาลย์ บอกจำเลยว่าใช้เงินค่าปลูกสร้างบ้านให้นายประโยชน์ ศิลปะ หมดแล้ว จำเลยก็งดเบิกเงินค่าเช่าบ้านตั้งแต่เดือนมกราคม 2517 เป็นต้นมา ในการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน นายประธาน ดาบเพชร เกลี้ยกล่อมให้จำเลยและพยานให้การตามที่นายประธาน ดาบเพชร แนะนำเพื่อช่วยให้จำเลยพ้นข้อหาเรื่องบีบบังคับให้ผู้รับเหมาสร้างบ้านให้เปล่า แต่นายประธานดาบเพชร กลับเอาคำให้การมากล่าวหาว่าจำเลยเบิกค่าเช่าบ้านเท็จ จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งที่ให้ออกจากราชการแล้ว
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ระหว่างที่จำเลยรับราชการอยู่ในกรมโจทก์ได้เบิกค่าเช่าบ้านตามฟ้องไปจากทางราชการเป็นจำนวน 52,800 บาท ปัญหาว่าจำเลยเบิกค่าเช่าบ้านเป็นเท็จเพราะบ้านเป็นของจำเลยเองดังโจทก์ฟ้องหรือไม่
โจทก์มีนายประธาน ดาบเพชร กับนางสาวอรสา บุญประสาท พนักงานในคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าได้ร่วมกันสอบสวนนางกาญจนี คำบุญรัตน์ ภรรยาของจำเลยนายเปลื้อง ชัชวาลย์ พ่อตาจำเลย นายประโยชน์ ศิลปะ นายสำราญ สุดจิตต์นางเฉลย อุตสาหกิจ ทุกคนต่างให้การสอดคล้องต้องกันว่า จำเลยและภรรยาเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 118/23 ตามฟ้องแล้วนำมาเบิกค่าเช่าจากทางราชการ โดยจำเลยและภรรยาร่วมกันยืมเงินจากนายสำราญ สุดจิตต์และนางเฉลย อุตสาหกิจ มาปลูกสร้าง และการที่จำเลยเบิกเงินค่าเช่าบ้านดังกล่าวก็เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ค่าปลูกสร้าง เมื่อใช้หนี้หมดแล้วก็จะหยุดเบิกการที่นายประโยชน์ ศิลปะ เป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านและขอเลขบ้านก็ทำไปโดยคำขอร้องของจำเลย นอกจากนี้จำเลยและผู้ถูกสอบสวนดังกล่าวต่างก็เบิกความยอมรับว่า เคยให้ถ้อยคำต่อนายประธาน ดาบเพชร จริง แต่อ้างว่าให้ถ้อยคำไปตามที่นายประธาน ดาบเพชร เสี้ยมสอนแนะนำเพื่อให้จำเลยพ้นผิดจากข้อกล่าวหาว่าบีบบังคับให้ผู้รับเหมาสร้างบ้านให้เปล่าศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ถ้าบ้านที่จำเลยเช่าเป็นบ้านของนายประโยชน์ศิลปะ จริงแล้ว จำเลยน่าจะให้ถ้อยคำเช่นนั้น จำเลยก็ย่อมพ้นผิดจากข้อกล่าวหาว่าบีบบังคับให้ผู้รับเหมาสร้างบ้านให้เปล่า เพราะบ้านนั้นไม่ใช่ของจำเลยไม่มีเหตุผลประการใดที่จะต้องให้ถ้อยคำว่าเป็นบ้านที่จำเลยปลูกเอง จำเลยและพยานจำเลยเป็นผู้มีการศึกษาและเป็นข้าราชการ ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ถ้อยคำไปตามคำแนะนำของนายประธาน ดาบเพชรศาลฎีกาเห็นว่า นายประธาน ดาบเพชร และนางสาวอรสา บุญประสาทเป็นข้าราชการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะแกล้งปรักปรำจำเลย คดีโจทก์จึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 118/23 ตามฟ้อง จำเลยไม่มีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้าน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยฝ่าฝืนมติของ อ.ก.พ.กระทรวง จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมแสดงออกโดยการกระทำของอธิบดีซึ่งเป็นผู้แทน เมื่อโจทก์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยเบิกไปโดยไม่มีสิทธิคืน โจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องคดีนี้ได้ส่วน อ.ก.พ. กระทรวงนั้นหามีอำนาจที่จะกระทำแทนโจทก์แต่อย่างใดไม่ฉะนั้น อ.ก.พ. กระทรวงจะมีมติในเรื่องนี้อย่างไรจึงไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจของโจทก์ในการฟ้องคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแปดร้อยบาทแทนโจทก์