คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1868/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่า รถยนต์โจทก์ถูกรถยนต์จำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทชนได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2518 ต่อมาวันที่ 29 สิงหาคม 2518 นาย น.ข้าราชการในสังกัดกรมโจทก์ และได้รับมอบหมายจากกรมโจทก์ให้เดินทางไปสังเกตการณ์และสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุรถยนต์คันของโจทก์ถูกชน นาย น.ได้ทำบันทึกรายงานแจ้งถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังปรากฏตามรายงานข้อ 7 ในบันทึกเอกสารหมายจ.5 ว่า “กระผมได้ไปพบเจ้าของรถบรรทุก ร. น.00562และตัวแทนบริษัทธนกิจประกันภัยจำกัด(นายธัญญะเอื้ออารี) เพื่อเรียกร้องการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งทางบริษัทประกันภัยได้ตกลงเป็นหลักการไว้ว่ายินดีจะชดใช้ ค่าเสียหายโดยจะซ่อมแซม รถยนต์แลนด์โรเวอร์ก.ท.ฬ.-1021ให้อยู่ในสภาพเดิม” นายภักดีลุศนันท์ อธิบดีกรมโจทก์ ในขณะนั้นได้มีบันทึกสั่งการไว้ในท้ายบันทึกรายงานดังกล่าว ลงวันที่ 2 กันยายน 2518 ว่า 1. การตกลงกับบริษัทประกันภัยและเจ้าของรถบรรทุกต้องมีลายลักษณ์อักษร 2. ทำรายงานไปกระทรวงการคลัง 3. ตั้งกรรมการสอบ ผู้รับผิดชอบทางแพ่งตามระเบียบซึ่งต่อมานาง ฉ.ประธานกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งตามที่กรมโจทก์ตั้ง ขึ้นก็ได้ทำรายงานความเห็นต่ออธิบดีกรมโจทก์ ดังปรากฏตามบันทึกข้อความเอกสารหมายจ.6หน้าที่ 3 ความว่าเห็นว่ารถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.น.00562 เป็นฝ่ายผิด ซึ่งเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กรมโจทก์แต่เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2518 และรู้ตัวผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2518 ฉะนั้นการที่จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.น.00562 นั้น ขาดอายุความ แล้ว จากข้อเท็จจริงตามที่ได้ความดังกล่าวเห็นว่า กรมโจทก์โดยอธิบดีในขณะนั้นได้รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัว ผู้ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งได้แก่จำเลยแล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2518ตามที่อธิบดีกรมโจทก์ในขณะนั้นได้ เขียนบันทึกสั่งการไว้ท้ายบันทึกรายงานตามเอกสารหมายจ.5 ซึ่งแม้แต่นางฉ.ประธานกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งที่โจทก์แต่งตั้งขึ้นก็ยังให้ความเห็นว่าคดีขาดอายุความแล้ว ดังนี้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2522 ซึ่งเป็นเวลาพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยผู้ต้องรับผิดดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2527)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถบรรทุกของจำเลยที่ 2ไปในทางการที่จ้างชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประการ และให้การว่าโจทก์ฟ้องจำเลยเกินกำหนด 1 ปี นับแต่โจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิด คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นอนุญาตคำขอของจำเลยที่ 2 ให้เรียกบริษัทธนกิจประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม

จำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกับจำเลยทั้งสอง และต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเช่นเดียวกัน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวนหนึ่ง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่งพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเกี่ยวกับอายุความฟ้องร้องตามฎีกาจำเลยนั้นข้อเท็จจริงได้ความจากการนำสืบของโจทก์นั้นเองว่า หลังเกิดเหตุรถยนต์โจทก์ถูกรถยนต์จำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทชนได้รับความเสียหายตามฟ้องแล้ว ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม 2518 นายนิยม จิ้วจิ้น นักเกษตรเอก ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดกรมโจทก์และได้รับมอบหมายจากกรมโจทก์ให้เดินทางไปสังเกตการณ์และสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุรถยนต์โจทก์ถูกชน ก็ได้ทำบันทึกรายงานแจ้งถึงเหตุการณ์ที่เกิดเหตุขึ้น พร้อมกับแจ้งถึงตัวผู้เป็นเจ้าของรถบรรทุก คันหมายเลขทะเบียน ร.น.00562 ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างผู้ขับดังปรากฏตามรายงานข้อ 7 ในบันทึกเอกสารหมาย จ.5 ว่า “กระผมได้ไปพบเจ้าของรถบรรทุก ร.น.00562 และตันแทนบริษัทธนกิจประกันภัย จำกัด (นายธัญญะ เอื้ออารี) เพื่อเรียกร้องการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งทางบริษัทธนกิจประกันภัยได้ตกลงเป็นหลักการไว้ว่า ยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายโดยจะซ่อมแซมรถยนต์แลนด์โรเวอร์ ก.ท.ฬ.-1021 ให้อยู่ในสภาพเดิม” ซึ่งในท้ายบันทึกหมาย จ.5 ดังกล่าว ได้มีข้อความของเจ้าหน้าที่ไว้ว่า “เสนอกรมเพื่อโปรดทราบ” ซึ่งหมายความว่าให้นำเสนอให้นายภักดี ลุศนันท์ อธิบดีกรมโจทก์ในขณะนั้น ได้รับทราบถึงเรื่องที่เกิดเหตุรถชนกันและทราบถึงตัวผู้จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ต่อมานายภักดี ลุศนันท์ อธิบดีกรมโจทก์ได้มีบันทึกสั่งการไว้ในท้ายบันทึกรายงานของนายนิยม จิ้วจิ้น ลงวันที่ 2 กันยายน 2518 ว่า 1. การตกลงกับบริษัทประกันภัย และเจ้าของรถบรรทุกต้องมีลายลักษณ์อักษร 2. ทำรายงานไปกระทรวงการคลัง 3. ตั้งกรรมการสอบผู้รับผิดชอบทางแพ่งตามระเบียบซึ่งต่อมานางเฉลิมศรี วัชรคุปต์ ประธานกรรมการสอบสวนตัวผู้รับผิดในทางแพ่งตามที่กรมโจทก์ตั้งขึ้นก็ได้ทำรายงานความเห็นต่ออธิบดีกรมโจทก์ดังปรากฎตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.6 หน้าที่ 3 ดังนี้ เห็นว่า รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.น.00562 เป็นฝ่ายผิด ซึ่งเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กรมวิชาการเกษตร แต่เนื่องจาก 1. กรณีเหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2518 อันเป็นวันที่เกิดการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2518 (ตามเอกสารหมายเลข 10) แต่เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.น.00562 นั้น ขาดอายุความแล้ว ผู้รับผิดชอบย่อมปฏิเสธได้

จากข้อเท็จจริงตามที่ได้ความดังกล่าว ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า กรมวิชาการเกษตร โจทก์ โดยนายภักดี ลุศนันท์ อธิบดีในขณะนั้นได้รู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งได้แก่จำเลยแล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2518 ตามที่นายภักดี ลุศนันท์ อธิบดีกรมโจทก์ได้เขียนบันทึกสั่งการไว้ท้ายบันทึกรายงานของนายนิยม จิ้วจิ้น ซึ่งแม้แต่นางเฉลิมศรี วัชรคุปต์ ประธานกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งที่โจทก์แต่งตั้งขึ้น ก็ยังให้ความเห็นว่าการจะฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับประมาทอันเป็นมูลละเมิดนั้นขาดอายุความแล้ว ดังนี้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2522 ซึ่งเป็นเวลาพ้นหนึ่งปีแต่วันที่โจทก์ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวจำเลยผู้ต้องรับผิดดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share