คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำให้การจำเลยเพราะพ้นกำหนด 8 วันแม้จะเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 ซึ่งจำเลยอาจอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา 228 ข้อ (3) แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ จำเลยกลับใช้สิทธิตามมาตรา 199 ยื่นคำร้องขอ ให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต ดังนี้ คำสั่งศาลชั้นต้นในครั้งหลังนี้เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การหรือคำสั่งอันเกี่ยวกับคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณาจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ซึ่งจำเลยอุทธรณ์ทันทีไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดเป็นเงิน17,230 บาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาวันเดียวกับวันที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยยื่นคำให้การเมื่อครบ 8 วันแล้ว และศาลสั่งขาดนัดแล้วจึงไม่รับคำให้การ จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การศาลชั้นต้นไม่อนุญาต

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณายกอุทธรณ์จำเลย

จำเลยฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาเพราะเป็นการสั่งไม่รับคำให้การ

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2509 เพราะพ้นกำหนด 8 วันนั้นแม้จะเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งจำเลยอาจยื่นอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา 288 ข้อ 3 แต่จำเลยก็มิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับใช้สิทธิตามมาตรา 199 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าการขาดนัดเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุสมควร ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นในครั้งหลังนี้เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การหรือคำสั่งอันเกี่ยวกับคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณาดังจำเลยฎีกาโต้เถียง ฉะนั้นจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ซึ่งจำเลยจะอุทธรณ์ทันทีมิได้

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลย โจทก์ไม่แก้ฎีกา

Share