คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4900/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะ เพียงแต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ยกให้แสดงเจตนาให้ปรากฏโดยตรงหรือโดยปริยายว่าได้อุทิศให้เป็นที่สาธารณะที่ดินนั้นก็ตกเป็นที่สาธารณะทันที ป. เจ้าของเดิมได้ยกที่ดินพิพาทให้เป็นที่สาธารณะไปแล้วก่อนจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยที่ 3ซึ่งเคยเป็นนายอำเภอท้องที่นั้นร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่2 ทำเอกสารบันทึกถ้อยคำให้ ป. ลงลายมือชื่อแสดงว่าป. ยกที่ดินของตนให้เป็นที่สาธารณะเมื่อวันที่ 5กรกฎาคม 2514 แม้เป็นการทำบันทึกภายหลังเมื่อที่ดินแปลงนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ผู้รับโอนแล้วก็ตาม การกระทำนั้นก็เพื่อยืนยันความจริงที่ ป. ได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะแก่ทางราชการไว้ให้ปรากฏเป็นหลักฐานอีกชั้นหนึ่งหาเป็นความเท็จไม่ ทั้งไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะที่ดินส่วนนั้นได้ตกเป็นที่สาธารณะไปแล้ว ก่อนโจทก์จะจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นมา จำเลยทั้งสามไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,162

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายประสิทธิ์ และนางละเอียดอนุสรวงค์ ซึ่งโอนแก่นางสอิ้ง เลิศบุญ แล้วโจทก์รับโอนมาอีกทอดหนึ่งเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2517 เมื่อก่อนหรือในวันที่ 4 สิงหาคม 2521 จำเลยที่ 3 ซึ่งเดิมเป็นนายอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี โดยการก่อหรือสนับสนุนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการรับรองว่านายประสิทธิ์ และนางละเอียด อนุสรวงค์ ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารบันทึกถ้อยคำว่าบุคคลทั้งสามยอมยกกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้เป็นที่สาธารณะเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2514 อันเป็นเท็จ ต่อมาจำเลยที่ 1ได้นำเสนอบันทึกถ้อยคำเอกสารดังกล่าวต่อศาลจังหวัดปทุมธานีในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 145/2521 ระหว่างนายประสาร รัตนายน โจทก์นายทองใบ วุฒิสมบูรณ์ กับพวก จำเลย ในที่สุดศาลจังหวัดปทุมธานีรับฟังตามบันทึกถ้อยคำเอกสารดังกล่าว และพิพากษายกฟ้อง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 157, 162(1)(4)

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 145/2521 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทส่วนที่อยู่ในโฉนดที่ 495นายประสิทธิ์ อนุสรวงค์ เจ้าของเดิมได้ยกให้เป็นที่สาธารณะไปแล้วก่อนจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะนั้นเพียงแต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ยกให้แสดงเจตนาให้ปรากฏโดยตรงหรือโดยปริยายว่าได้อุทิศให้เป็นที่สาธารณะที่ดินดังกล่าวก็ตกเป็นที่สาธารณะแล้ว ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำเอกสารบันทึกถ้อยคำให้นายประสิทธิ์ลงลายมือชื่อแสดงว่า นายประสิทธิ์ยกที่ดินของตนให้เป็นที่สาธารณะเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2521 โดยเป็นการทำบันทึกภายหลังเมื่อที่ดินแปลงนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วก็ตามการกระทำนั้นก็เพื่อยืนยันความจริงที่นายประสิทธิ์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะแก่ทางราชการไว้ให้ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสืออีกชั้นหนึ่งจึงหาเป็นความเท็จไม่อีกทั้งไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เพราะที่ดินส่วนนั้นได้ตกเป็นที่สาธารณะไปแล้วก่อนโจทก์จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมา จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 ดังโจทก์ฟ้องที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share