แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลยนั้น โจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้น ต้องมิใช่คำตำรวจผู้สอบสวน คำรับนั้นเอง(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 85/2484)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2513 เวลากลางคืนจำเลยนี้ได้ทุบกระเบื้องซิเมนต์อันเป็นฝากั้นห้องนอนที่อยู่อาศัยของนายสุรเดช ลีเลิศพงษ์ แตกเป็นช่องแล้วใช้มือล้วงลักเอาปืนยาวลูกกรดขนาด .22 หนึ่งกระบอก กระสุนปืน 3 นัดและซองบรรจุกระสุนปืน 1 ซอง ของนายเท่งเก็ง แซ่ลิ้ม ไป เหตุเกิดที่ตำบลคลองตัน อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335 ชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ประกอบด้วยคำรับชั้นสอบสวนของจำเลย ซึ่งจำเลยต่อสู้ว่าได้มาด้วยการถูกตำรวจบังคับ กับพยานประกอบซึ่งให้การแตกต่างขัดกันในข้อสำคัญรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ โดยวินิจฉัยว่า การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลยนั้น โจทก์ก็ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องมิใช่คำตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเอง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 85/2484 คดีนี้พยานประกอบของโจทก์คือนายสุรเดชกับเด็กหญิงแหม่ม ซึ่งนอกจากแตกต่างกันในข้อสำคัญแล้วยังรับฟังคำนายสุรเดชไม่ได้ด้วยทั้งตามคำรับจำเลยชั้นสอบสวนก็ไม่ประกอบคำนายสุรเดช โดยจำเลยให้การว่า จำเลยหยิบเอาปืนเดินหนีไปทางหลังบ้านนายสุรเดชได้เดินตามมาร้องเรียกให้หยุด จำเลยไม่ยอมหยุดแล้วเดินหนีไปแตกต่างกับคำนายสุรเดชที่อ้างว่าจำเลยวิ่งหนีไปทางหน้าบ้าน นายสุรเดชไม่ได้วิ่งไล่หรือเดินตามไปร้องเรียกจำเลยอย่างไร ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังคำนายสุรเดชคนเดียวว่าประกอบคำรับจำเลยชั้นสอบสวนแล้วลงโทษจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์