แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกฟ้องทางอาญาหาว่าขับรถยนต์ถอยหลังโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ศาลพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดไปแล้วโจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จำเลยต่อสู้ว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถโจทก์ แม้ประเด็นที่ว่าจำเลยประมาทหรือไม่ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็ยังมีประเด็นที่จะต้องนำสืบต่อไปว่า ฝ่ายโจทก์มีส่วนร่วมประมาทด้วยหรือไม่. เพื่อกำหนดส่วนค่าเสียหายอันจะพึงต้องชดใช้แก่กัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ ป.ท.00154 ด้วยความประมาทถอยหลังจากที่จอดขึ้นถนนพหลโยธินโดยรวดเร็ว เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ก.ท.ด.30518 ของโจทก์ซึ่งนายมนัสขับมาตามถนนพหลโยธินเสียหาย จำเลยถูกฟ้องต่อศาลฐานขับรถประมาท ศาลลงโทษปรับ คดีถึงที่สุดแล้วขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 9,300 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุที่รถโดยกันเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถโจทก์ ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย5,000 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เป็นความผิดของจำเลย
ก่อนสืบพยาน จำเลยแถลงรับว่าจำเลยได้ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาแดงที่ 5834/2510 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ซึ่งศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุดไปแล้ว ตามคำฟ้องในคดีนั้นที่ว่ารถคันที่ถูกชนเป็นของนายมนัสนั้น ความจริงรถเป็นของโจทก์ นายมนัสเป็นแต่คนขับ
เมื่อจำเลยรับดังนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่า เรื่องที่รถชนกันต้องฟังข้อเท็จจริงไปตามคดีอาญา สั่งงดสืบพยานโจทก์ในประเด็นที่ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทชนรถโจทก์และงดสืบพยานตามฟ้องแย้งคงให้โจทก์สืบแต่ประเด็นเรื่องค่าเสียหายแล้วให้จำเลยสืบแก้เท่านั้น
จำเลยแถลงคัดค้านว่า คำสั่งศาลไม่ชอบ
เมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานตามที่สั่งเสร็จแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 6,300 บาท พร้อมดอกเบี้ย และยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานในประเด็นที่ว่าจำเลยประมาทหรือไม่ชอบแล้ว เพราะต้องถือตามคดีอาญา แต่ข้อที่ว่าฝ่ายโจทก์มีส่วนร่วมประมาทด้วยหรือไม่ ควรต้องให้สืบ เพราะเกี่ยวกับการกำหนดหรือลดส่วนค่าเสียหาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ทำการสืบพยานในประเด็นที่ว่า ฝ่ายโจทก์มีส่วนร่วมประมาทด้วยหรือไม่และค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องใช้มีเพียงใด แล้วพิพากษาคดีใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ที่บัญญัติว่าการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น คดีส่วนอาญาที่จำเลยถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ปรากฏเพียงว่า จำเลยถูกฟ้องหาว่าขับรถยนต์ถอยหลังโดยไม่ดูความปลอดภัยของรถอื่นให้ดีเสียก่อน เป็นเหตุให้รถที่จำเลยขับชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษปรับ 250 บาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกข้อเท็จจริงที่ฟังในคดีนั้น คงฟังเพียงว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นผลให้เกิดชนกับรถโจทก์เท่านั้น หาได้ฟังถึงกับว่า การโดนกันเป็นการโดนเพราะความประมาทของจำเลยข้างเดียวไม่ การที่จะขอสืบในคดีนี้ว่า การโดนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ร่วมด้วย จึงไม่ขัดกับข้อที่ฟังไว้ในคดีอาญา ตามคำให้การจำเลยพออนุมานได้ว่า จำเลยได้ต่อสู้รวมถึงเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ด้วย ซึ่งถ้ามีการนำสืบให้รับฟังได้ ค่าเสียหายที่จำเลยควรจะต้องใช้แก่โจทก์ย่อมจะลดลงดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223, 442 บัญญัติไว้ไม่ใช่ผู้เสียหายจะคิดเอาได้เต็มที่เหมือนอย่างที่จำเลยประมาทข้างเดียว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้มีการนำสืบต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน