คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่บุคคลหลายคนร่วมกันมาปล้นทรัพย์บ้านใกล้เคียงกันแม้จะแยกกันเข้าทำการในหลายบ้าน แต่ละบ้านมีจำนวนไม่ถึง3 คน อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ก็ตามก็ถือว่าการกระทำทั้งหมดเป็นกรรมเดียวกัน แต่ละคนย่อมมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ประกอบด้วยมาตรา 83 แต่เมื่อคนหนึ่งในจำนวนนั้นไปข่มขืนกระทำชำเราเจ้าทรัพย์ด้วยอันไม่อยู่ในเจตนาของการร่วมกันมา ย่อมเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ซึ่งศาลอาจเรียงกระทงลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ในกรณีที่โจทก์ฟ้องรวมกระทงกันมา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีใจความว่า เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลากลางคืนจำเลยทั้งหกนี้กับพวกที่ยังหลบหนีอยู่อีก ๑ คน ได้ร่วมกันมีปืนและมีดพกเป็นอาวุธเข้าทำการปล้นบ้าน ๕ หลังคาเรือนซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ในเวลาเดียวกันจำเลยที่ ๕ กับพวกอีกคนหนึ่งแยกเข้าทำการที่บ้านผู้เสียหายที่ชื่อนางแต่ง สาวน้อย และจำเลยที่ ๕ เพียงคนเดียวได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ไป ๑ ครั้ง ในระหว่างที่ทำการปล้นทรัพย์นั้นจำเลยคนหนึ่งได้ใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์แต่ไม่ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีที่เหตุเกิดในเขต ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ พยายามฆ่า ข่มขืนกระทำชำเรา และขอให้เพิ่มโทษจำเลยบางคนด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓, ๒๘๘,๘๐, ๒๗๖, ๙๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลจังหวัดปราจีนบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าด้วยบทหนึ่ง จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ มีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ เฉพาะจำเลยที่ ๕ มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ อีกบทหนึ่งลงโทษจำเลยตามฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๕ ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ ซึ่งเป็นบทหนัก โดยถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๔ และ ๖
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๔ และที่ ๖ ด้วย
จำเลยที่ ๕ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๕ ฎีกาต่อมาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้กระทำผิดและในปัญหาข้อกฎหมายว่า ถึงแม้ศาลจะฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็เป็นเพียงความผิดฐานชิงทรัพย์ เพราะตามพยานหลักฐานโจทก์แสดงว่าจำเลยที่ ๕เข้ากระทำการกับพวกอีก ๑ คนเท่านั้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ ๕ ได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดทั้งฐานปล้นทรัพย์และฐานข่มขืนกระทำชำเรา สำหรับปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยต่อสู้ขึ้นมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงจำเลยกับพวกได้ร่วมกันมาแต่ต้นเพื่อปล้นทรัพย์ในคดีนี้แล้วแยกย้ายกันเข้าทำการปล้นในเวลาเดียวกันและใกล้เคียงกัน จึงเป็นการร่วมกันกระทำในความผิดอันเดียวกัน เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ ประกอบด้วยมาตรา ๘๓ ทั่วทุกคนและวินิจฉัยต่อไปว่า การที่จำเลยที่ ๕ ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย ย่อมเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ อีกกรรมหนึ่งต่างหาก จำเลยที่ ๕ มีความผิดสองกรรมต่างกัน ซึ่งศาลอาจลงโทษเรียงกระทงความผิดหรือลงเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ จึงแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะเรื่องวางบทกำหนดโทษสำหรับจำเลยที่ ๕ ว่ามีความผิดสองกระทง ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๐ วรรค ๔แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุด
ยกฎีกาจำเลยที่ ๕

Share