แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลจะยกเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างเองก็ต่อเมื่อศาลเห็นสมควรเท่านั้น
การที่จำเลยผู้ขายที่ดินพิพาทมิได้ต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ และเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ได้จัดการโอนที่พิพาทให้โจทก์ไปแล้ว โดยจำเลยเป็นผู้รับเงินค่าที่ดินทั้งหมด ทั้งเจ้าของที่ดินมิได้โต้แย้งคัดค้านแต่ประการใด กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 350/2485)
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 572 ตารางวาแก่โจทก์ ราคาตารางวาละ 1,200 บาท รวมเป็นเงิน 686,400 บาท
ในวันทำสัญญา โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำจำนวน 100,000 บาทให้แก่จำเลยโจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะต้องรังวัดสอบเขตและเนื้อที่ดินให้แน่นอนแล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ ปรากฏว่าการรังวัดสอบเนื้อที่ดินยังไม่เสร็จ โจทก์จำเลยจึงตกลงยืดวันโอนกรรมสิทธิ์ออกไป โดยโจทก์ชำระราคาที่ดินให้จำเลยอีก 70,000 บาท ครั้นถึงวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ การรังวัดสอบเขตก็ยังไม่เสร็จ โจทก์จำเลยได้จัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันในวันนั้น โดยโจทก์ได้ชำระราคาที่เหลืออีก 516,400 บาทให้แก่จำเลย และทั้งคู่ตกลงกันว่าหากรังวัดเสร็จ ขาดเนื้อที่เท่าใด จำเลยยอมคืนเงินให้ และถ้าเกินไปเท่าใดโจทก์ยอมเพิ่มเงินให้เช่นกัน ต่อมาได้ความว่าเนื้อที่ดินขาดไปจากโฉนด 68 ตารางวา คิดเป็นเงิน 81,600 บาท โจทก์ได้เตือนให้จำเลยชำระเงินแต่จำเลยไม่ยอมชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การรับว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 572 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 1,200 บาทจริง และจำเลยได้รับมัดจำจากโจทก์แล้ว 100,000 บาท แต่เป็นการซื้อขายที่ดินทั้งแปลงตามจำนวนเนื้อที่ในโฉนด จำเลยไม่เคยตกลงว่าจำเลยจะรังวัดสอบเขตให้แน่นอน แล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์กัน ความจริงมีว่าครั้นถึงกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่สามารถชำระเงินได้ครบตามสัญญา คงขอชำระเพียง 70,000 บาท และขอยืดเวลาชำระเงินกับการโอนกรรมสิทธิ์ไปอีก จำเลยยินยอม ต่อมาครั้นถึงกำหนดวันนัดโจทก์จำเลยจึงได้ไปโอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินที่เหลือจำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่า หากเนื้อที่ดินขาดหรือเกินเท่าใด จะคืนหรือเพิ่มเงินดังฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์อ้างสำเนาสัญญาขายที่ดินหมาย จ.1ซึ่งโจทก์จำเลยรับกันว่าเป็นสำเนาถูกต้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยรับกันแล้วว่าได้มีการซื้อขายที่พิพาทเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ดังปรากฏตามเอกสาร จ.1 ซึ่งมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้เป็นการขายกันทั้งแปลงและกำหนดราคากันแน่นอนไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิ์นำสืบว่าตกลงขายกันเป็นตารางวาตามสัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้อง เพราะเมื่อซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาดก็ต้องฟังตามสัญญาหมาย จ.1 จะฟังตามสัญญาจะซื้อจะขายอีกไม่ได้ เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร และเมื่อเป็นการซื้อขายกันทั้งแปลง โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินส่วนที่เกินไม่ได้อีกประการหนึ่ง ตามสัญญาซื้อขายหมาย จ.1 ปรากฏว่าจำเลยเป็นแต่ผู้ทำแทนนางผาดผู้ขายซึ่งเป็นตัวการโจทก์ชอบที่จะฟ้องตัวการ ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้ไว้ แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลยกขึ้นอ้างเองได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยด้วย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีสิทธิสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ (เกี่ยวกับอำนาจฟ้อง) ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วให้พิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลย จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 572 วา ในราคาตารางวาละ1,200 บาท รวมเป็นเงิน 686,400 บาทแก่โจทก์จริง และจำเลยได้รับเงินมัดจำในวันนั้นไปแล้ว 100,000 บาท ในคำให้การของจำเลยทั้งหมดไม่มีข้อกล่าวอ้างถึงสัญญาซื้อขาย เอกสาร หมาย จ.1 แต่ประการใดเลย แม้ในคำฟ้องก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องว่ารับโอนกรรมสิทธิ์มาแล้ว เนื้อที่ขาดไป 68 ตารางวา ไม่ถูกต้องตามที่ตกลง และจำเลยต่อสู้ว่าเป็นการซื้อขายทั้งแปลงตามจำนวนเนื้อที่ในโฉนดซึ่งหมายถึงเนื้อที่ 572 ตารางวา ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ และไม่เคยตกลงกับโจทก์ว่าหากเนื้อที่ขาดหรือเกินเท่าใด จะคืนหรือเพิ่มเงินให้นั้นจะรับฟังได้เพียงไร จึงเป็นข้อที่ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไป โจทก์ขอสืบพยานตามฟ้องได้ไม่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร
ในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องและสัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้องระบุชัดว่าจำเลยตกลงขายที่ดินโฉนดนี้ให้โจทก์ซึ่งจำเลยก็ให้การรับโดยจำเลยมิได้แสดงออกให้ปรากฏในสัญญาจะซื้อขายรายนี้เลยว่า จำเลยมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และจำเลยทำแทนผู้ใด จำเลยจึงต้องรับผิดในฐานะผู้ขาย การที่ศาลจะยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างอิง โดยคู่ความมิได้กล่าวอ้างหรือต่อสู้ไว้นั้น ต้องต่อเมื่อศาลเห็นสมควรในเรื่องอำนาจฟ้องก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่สมควรแล้วศาลจะไม่ยกขึ้นวินิจฉัยคดีนี้ นอกจากจำเลยมิได้ต่อสู้แล้ว นางผาดเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ได้โอนขายที่ดินให้โจทก์แล้วด้วย โดยนางผาดมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องโต้แย้งแต่ประการใด และจำเลยเป็นผู้รับเงินค่าที่ดินไปทั้งหมด ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะยกขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
พิพากษายืน