คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4051/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับทราบคำชี้ขาดของจำเลยให้เสียภาษีตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้แล้ว โจทก์ไม่พอใจคำชี้ขาดของจำเลย แต่โจทก์ไม่ยอมชำระค่าภาษีตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้ กลับนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลว่าการประเมินไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติมาตรา31 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยดังกล่าวจึงต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 39 คือโจทก์ต้องชำระค่าภาษีให้จำเลยไปก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าภาษีตามที่จำเลยประเมินไว้ก่อนฟ้องเช่นนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ศาลจะรับไว้พิจารณาไม่ได้ และศาลไม่อาจที่จะสั่งให้โจทก์นำค่าภาษีมาชำระหลังจากฟ้องแล้วได้ ถือได้ว่าโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 132/104-105-106ตั้งอยู่ในซอย 95 (ซอยสมบูรณ์สุข) ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โจทก์ใช้ประโยชน์ทั้งสามห้องนั้นเองมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม โดยโจทก์ใช้เป็นที่บริหารการงานของสมาคมชาวขอนแก่น ซึ่งโจทก์เป็นนายกสมาคมตลอดมา ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่รายงานได้เขตบางกอกน้อยให้โจทก์นำเงินค่าภาษีโรงเรือนทั้งสามห้องเป็นเงิน 27,000 บาท กับค่าภาษีเพิ่มอีก 2,700 บาท รวมเป็นเงิน 29,700 บาท ไปชำระ โจทก์ยื่นคำร้องให้พิจารณาการประเมินภาษีใหม่ต่ออธิบดีกรมสรรพากร ต่อมาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้แจ้งคำชี้ขาดเป็นหนังสือเล่มที่ 1 เลขที่ 45ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2523 ให้ทราบ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2523 ให้โจทก์เสียค่าภาษีโรงเรือนห้องละ 900 บาท โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์ควรได้รับงดเว้นการเสียภาษี ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า คำชี้ขาดของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเล่มที่ 1 เลขที่ 45 ลงวันที่ 6 พฤษภาคม2523 ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ชำระค่าภาษีโรงเรือนก่อนยื่นฟ้อง โจทก์มิได้ใช้โรงเรือนพิพาทเอง แต่ให้สมาคมชาวขอนแก่นเช่า เจ้าพนักงานของจำเลยประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ขอให้จำเลยพิจารณาการประเมินใหม่ แต่คณะกรรมการได้พิจารณายืนตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้ และยกคำร้องดังกล่าวของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ในเบื้องต้น

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายและวินิจฉัยว่า โจทก์ทราบคำชี้ขาดของคณะกรรมการให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้แล้ว แต่โจทก์ไม่ชำระค่าภาษีดังกล่าวก่อนที่จะฟ้องคดี จึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 39 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การว่า โจทก์ได้รับทราบคำชี้ขาดของจำเลยให้เสียภาษีตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้แล้ว โจทก์ไม่พอใจในคำชี้ขาดของจำเลย แต่โจทก์ไม่ยอมชำระค่าภาษีตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้ กลับนำคดีมาฟ้องต่อศาลว่าการประเมินไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ มาตรา 31 และวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยดังกล่าวจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินฯ คือโจทก์ต้องชำระค่าภาษีให้จำเลยไปก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าภาษีตามที่จำเลยประเมินไว้ก่อนฟ้องเช่นนี้ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ศาลจะรับไว้พิจารณาไม่ได้ และศาลก็ไม่อาจที่จะสั่งให้โจทก์นำค่าภาษีมาชำระหลังจากฟ้องแล้วได้ ถือได้ว่าโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้

พิพากษายืน

Share