คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญเกี่ยวกับจำนวนเงินให้เพิ่มมากขึ้นโดยไม่ประจักษ์ และผู้สั่งจ่ายไม่รู้เห็นยินยอมด้วยจำเลยที่ 1 ผู้ทรงโดยชอบย่อมมีสิทธิบังคับการใช้เงินจากผู้สั่งจ่ายได้เพียงจำนวนเงินเดิมอันเป็นคำสั่งของผู้สั่งจ่ายเท่านั้น ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 987,1007 วรรคสองส่วนเงินจำนวนที่เกินไปจากนั้นเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
ขณะที่จำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทมาเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์ การแก้ไขจำนวนเงินไม่ประจักษ์ และธนาคารโจทก์เชื่อว่าผู้สั่งจ่ายออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีตามจำนวนที่มีการแก้ไข ธนาคารโจทก์มิได้จ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 รับไปตามอำเภอใจ จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนเงินส่วนที่รับเกินมาให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2519 บริษัทน้ำตาลมิตรสยามจำกัด ได้ออกเช็คเลขที่ ยู ส่วน 14/187448 สั่งให้ธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชรจ่ายเงินของบริษัทน้ำตาลมิตรสยาม จำกัด ซึ่งฝากไว้กับธนาคารโจทก์ สาขากำแพงเพชร บัญชีเลขที่ 222 เป็นเงินจำนวน 6,506 บาท ให้แก่นายชัยยุทธหรือผู้ถือ โดยกำหนดจ่ายเงินตามเช็ควันที่ 21 มีนาคม 2519 เมื่อนายชัยยุทธไปรับเช็คดังกล่าวจึงร่วมกับนายสมคิดและพวกเปลี่ยนแปลงแก้ไขเติมข้อความในเช็คเกี่ยวกับผู้ทรง และจำนวนเงินในเช็คนั้น ด้วยการใช้หมึกป้ายปิดทับตรงชื่อนายชัยยุทธ แล้วเขียนชื่อนายสมคิดลงแทน แก้ตัวเลขในเช็คจากจำนวนเงิน 6,506 บาท เป็น 1,606,506บาท แก้ตัวหนังสือสั่งจ่ายเงินจากคำว่า หกพันห้าร้อยบาทถ้วนเป็นหนึ่งล้านหกแสนหกพันห้าร้อยหกบาทถ้วน แล้วนายสมคิดมอบเช็คที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขดังกล่าวให้ธนาคารจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทรงเพื่อประกันการชำระหนี้ ครั้นเช็คถึงกำหนด จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทรงนำเช็คนั้นมาเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชร เพื่อหักเงินจากบัญชีของบริษัทน้ำตาลมิตรสยาม จำกัด ธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชรเชื่อว่าเป็นเช็คอันแท้จริงจึงจ่ายเงินให้ธนาคารจำเลยที่ 1 เป็นเงิน1,606,506 บาท ตามจำนวนที่ปรากฏในเช็ค จนวันที่ 23 มีนาคม2519 ธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชรทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในเช็คให้เพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ผู้ออกเช็คสั่งจ่ายไว้จำนวน1,600,000 บาท ได้คืนเงินจำนวนนี้ให้บริษัทน้ำตาลมิตรสยามจำกัด แล้ว การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทรงเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินและรับเงินจากธนาคารโจทก์ สาขากำแพงเพชร สูงกว่าความเป็นจริง1,600,000 บาท เป็นการได้เงินนั้นไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย โดยการใช้เช็คซึ่งมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,600,000 บาท แต่จำเลยไม่คืน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 1,720,000 บาทกับดอกเบี้ยในต้นเงิน 1,600,000 บาท อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ทราบเรื่องที่มีการปลอมแปลงแก้ไขเช็คที่โจทก์ฟ้อง นายสมคิดทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ 1 และมอบเช็คพิพาทซึ่งลงวันที่ล่วงหน้าให้จำเลยที่ 1 หักบัญชีชำระหนี้จำเลยตรวจดูเห็นว่าเป็นเช็คที่จ่ายถูกต้องเรียบร้อยสมบูรณ์ เมื่อถึงกำหนดชำระจำเลยที่ 1 จึงส่งไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์ ธนาคารโจทก์ผู้จ่ายตรวจสอบเห็นว่าชอบแล้ว จึงจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 ตามที่เรียกเก็บ ธนาคารโจทก์จำเลยตลอดจนสาขาธนาคารประกอบการธนาคารพาณิชย์เช่นเดียวกัน ย่อมถือว่ามีความรู้พิเศษในอาชีพของตน โจทก์มีหน้าที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของเช็คที่จำเลยส่งไปเรียกเก็บเงิน ถ้าไม่ถูกต้องหรือมีข้อสงสัยต้องคืนเช็คกลับให้จำเลยตามข้อตกลงภายในกำหนดเวลา โจทก์จ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยส่งไปเรียกเก็บแล้ว จะอ้างภายหลังว่าเป็นเช็คที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อผู้รับเงินกับจำนวนเงิน และโจทก์จ่ายเงินให้ไปโดยหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารแท้จริงหาได้ไม่ การแก้ไขเพิ่มเติมในเช็คที่ฟ้องเป็นการกระทำของฝ่ายโจทก์โดยไม่สุจริต ที่โจทก์ยอมจ่ายเงินตามเช็คเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์จะต้องรับผิดชอบเอง จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบด้วย โจทก์คืนเงินจำนวน1,600,000 บาท ให้บริษัทน้ำตาลมิตรสยาม จำกัดไปตามอำเภอใจโจทก์เรียกคืนจากจำเลยไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 407, 410, 411 เช็คพิพาทมอบให้จำเลยไว้เพื่อเข้าบัญชีหักชำระหนี้ของนายสมคิด จำเลยไม่ได้ลาภงอกขึ้นดังฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,600,000 บาท คืนแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2519 อันเป็นวันที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยปฏิเสธไม่คืนเงินไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทน้ำตาลมิตรสยาม จำกัดออกเช็คธนาคารโจทก์ สาขากำแพงเพชร เลขที่ ยู ส่วน 14/187448สั่งจ่ายเงินจำนวน 6,506 บาท ลงวันที่ล่วงหน้าให้นายชัยยุทธหรือผู้ถือเช็คดังกล่าวตกมาอยู่ในมือของนายสมคิด และนายสมคิดได้แก้จำนวนเงินอันจะพึงใช้ในเช็คโดยกรอกตัวเลขกับตัวอักษรข้างหน้าจำนวนเงินเดิมเพิ่มมากขึ้นเป็น 1,606,506 บาท ยังใช้หมึกป้ายทับชื่อนายชัยยุทธใส่ชื่อนายสมคิดลงแทน โดยผู้สั่งจ่ายมิได้รู้เห็นยินยอม แล้วนายสมคิดนำเช็คพิพาทซึ่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปขายลดให้ธนาคารจำเลยที่ 1 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในเช็ครับกันว่าทำได้แนบเนียน ไม่ประจักษ์ในเช็ค ส่วนรอยใช้หมึกป้ายทับปิดชื่อนายชัยยุทธในช่องคำว่าจ่าย เห็นได้อย่างชัดแจ้งนั้นมีปรากฏอยู่แล้วในขณะนำมาขายลดให้จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ไม่ติดใจสงสัยเพราะเช็คไม่ได้ฆ่าคำว่าหรือผู้ถือจึงไม่ใช่ข้อสำคัญจำเลยที่ 1 ยอมรับเช็คพิพาทไว้ในฐานะผู้ทรงชอบด้วยกฎหมายและจ่ายเงินไปตามจำนวนที่แก้ไข ครั้นเช็คถึงกำหนดจำเลยที่ 1ผู้ทรงโดยชอบนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชร ธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชร ไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจำนวนเงินในเช็ค จึงจ่ายเงินจากบัญชีของผู้สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 ไปตามจำนวนที่แก้ไขคือ 1,606,506 บาทโดยเข้าใจว่าผู้สั่งจ่ายเงินตามจำนวนดังกล่าว ในปัญหาที่ว่าธนาคารโจทก์จะเรียกเงินส่วนที่เกินจำนวนตามเช็คคืนจากจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทรงมีสิทธิจะเบิกเงินตามเช็คพิพาทที่แก้ไขไปจากธนาคารโจทก์ได้ทั้งหมดเพราะเหตุใด เมื่อเช็คพิพาทแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญเกี่ยวกับจำนวนเงินให้เพิ่มมากขึ้นโดยไม่เห็นประจักษ์และผู้สั่งจ่ายไม่รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ 1 ผู้ทรงโดยชอบย่อมมีสิทธิบังคับการใช้เงินจากผู้สั่งจ่ายได้เพียงจำนวนเงินเดิมอันเป็นคำสั่งของผู้สั่งจ่าย คือจำนวน 6,506 บาทเท่านั้น ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 987, 1007 วรรคสองการที่ธนาคารโจทก์สาขากำแพงเพชรจ่ายเงินจากบัญชีของผู้สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทรงไปตามจำนวนเงินที่แก้ไขให้มากขึ้น ย่อมเกินคำสั่งของผู้สั่งจ่ายเรื่องนี้ธนาคารโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานะจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทรงรับเงินตามเช็คไปเกินกว่าจำนวนที่ผู้สั่งจ่ายได้สั่งจ่ายไว้เดิม โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย ได้วินิจฉัยถึงสิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้ทรงไว้ข้างต้นแล้วว่ารับเงินตามเช็คไปได้เพียงจำนวนเงินเดิมอันเป็นคำสั่งของผู้สั่งจ่ายคือ 6,506 บาทจำเลยที่ 1 รับเงินส่วนที่เกินไปจากนั้นเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย ขณะจำเลยที่ 1 ผู้ทรงเช็คโดยชอบนำเช็คพิพาทมาเรียกเก็บเงินจากธนาคารโจทก์ การแก้จำนวนเงินไม่ประจักษ์และธนาคารโจทก์เชื่อว่าผู้สั่งจ่ายออกเช็คสั่งจ่ายเงินจากบัญชีตามจำนวนที่มีการแก้ไข ธนาคารโจทก์มิได้จ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 รับไปตามอำเภอใจ จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share