คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4788/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามพฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยปฏิบัติต่อกันเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 2 งวดติดต่อำกันหลายครั้ง ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาไม่ชำระเงินติดต่อกัน 2 งวด (สองเดือน) คู่สัญญาถือว่าผู้เช่าซื้อขาดสิทธิการเช่าซื้อที่ดินแปลงตามสัญญานี้ ผู้เช่าซื้อจะเรียกร้องเงินมัดจำ เงินที่ส่งค่างวดหรือค่าเสียหายใดๆ จากผู้ขายมิได้และผู้เช่าซื้อจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ขาดสิทธิ แสดงว่าจำเลยหมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไปทันที แต่ในทางปฏิบัติระหว่างโจทก์และจำเลยปรากฏว่าจำเลยยังคงชำระค่าเช่าซื้อต่อมา และโจทก์ก็ยินยอมรับชำระค่าเช่าซื้อ แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะถือว่าจำเลยขาดสิทธิแล้วก็ตาม แสดงว่าโจทก์มิได้ยึดถือเอาสัญญาเช่าซื้อข้อนี้เป็นสาระสำคัญโดยโจทก์ยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อไป จึงรับเงินค่าเช่าซื้อไว้ ถือว่าโจทก์ยอมสละสิทธิที่มีอยู่ตามสัญญา สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยยังไม่เลิกกัน ดังนั้น หากจำเลยผิดนัดผิดสัญญาเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าซื้ออีก และโจทก์มีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ต้องบอกกล่าวไปยังจำเลยโดยให้ระยะเวลาแก่จำเลยพอสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยทันทีโดยไม่ให้ระยะเวลาแก่จำเลยชำระหนี้ก่อนตามสมควรจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน
การสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 นั้น ศาลต้องสั่งให้ชัดแจ้งว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องโจทก์หรือฟ้องแย้งของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 สั่งให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยไม่กำหนดให้ครบถ้วนถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดิน ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและให้บังคับโจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อ ฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2530 ให้แก่จำเลยและให้โจทก์รับเงินที่ค้างชำระจำนวน 48,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามขอถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 48,000 บาท แก่โจทก์ ให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด (ที่ถูก โฉนดตราจอง) เลขที่ 8836 ตำบลป่าเซ่า (บ้านเกาะ) อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ตามสัญญาเช่าซื้อ ฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2530 แปลงที่ 5 และที่ 6 (ปัจจุบันคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 21566 ตำบลป่าเซ่า อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3) ให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่า การที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกัน 2 งวด และชำระไม่ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าซื้อแม้โจทก์จะยอมรับเงินค่าเช่าซื้อไว้ ก็ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันแล้วหรือไม่ เห็นว่า คดีตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาฝ่ายละ 160,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ดังนั้น คดีนี้จึงฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย และการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับฟังข้อเท็จจริงยุติว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2530 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8836 ตำบลป่าเซ่า อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ จากโจทก์ในราคา 160,000 บาท ชำระเงินงวดแรกจำนวน 30,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระเป็นรายเดือนโดย 2 เดือนแรก ชำระเดือนละ 2,000 บาท อีก 42 เดือนหลัง ชำระเดือนละ 3,000 บาท ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน นับแต่เดือนมกราคม 2531 เป็นต้นไป โดยผู้เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อให้เสร็จสิ้นภายใน 3 ปี 8 เดือน ตามสัญญาเช่าซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินเอกสารหมาย จ.4 หรือ ล.2 หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินแล้วจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินที่เช่าซื้อ จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์รวม 28 งวด ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.1 จำนวน 22 ฉบับ ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 48,000 บาท การชำระเช่าซื้อแต่ละงวดไม่ตรงตามกำหนดในสัญญาเช่าซื้อ เห็นว่า ตามพฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยปฏิบัติต่อกันเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา 2 งวดติดต่อกันหลายครั้ง ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 7 ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาไม่ชำระเงินติดต่อกัน 2 งวด (สองเดือน) คู่สัญญาถือว่าผู้เช่าซื้อขาดสิทธิการเช่าซื้อที่ดินแปลงตามสัญญานี้ ผู้เช่าซื้อจะเรียกร้องเงินมัดจำ เงินที่ส่งค่างวดหรือค่าเสียหายใดๆ จากผู้ขายมิได้และผู้เช่าซื้อจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ขาดสิทธิ แสดงว่า จำเลยหมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไปทันที แต่ในทางปฏิบัติระหว่างโจทก์และจำเลยปรากฏว่าจำเลยยังคงชำระค่าเช่าซื้อต่อมา และโจทก์ก็ยินยอมรับชำระค่าเช่าซื้อ แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะถือว่าจำเลยขาดสิทธิแล้วก็ตาม แสดงว่าโจทก์มิได้ยึดถือเอาสัญญาเช่าซื้อข้อ 7 เป็นสาระสำคัญโดยโจทก์ยังถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังมีผลต่อไป จึงรับเงินค่าเช่าซื้อไว้ ถือว่าโจทก์ยอมสละสิทธิที่มีอยู่ตามสัญญา สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยยังไม่เลิกกัน ดังนั้น หากจำเลยผิดนัดผิดสัญญาเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าซื้ออีก และโจทก์มีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ต้องบอกกล่าวไปยังจำเลยโดยให้ระยะเวลาแก่จำเลยพอสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เมื่อตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยทันทีโดยไม่ให้ระยะเวลาแก่จำเลยชำระหนี้ก่อนตามสมควรจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์และให้บังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 นั้น ศาลต้องสั่งให้ชัดแจ้งว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องโจทก์หรือฟ้องแย้งของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 สั่งให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยไม่กำหนดให้ครบถ้วนถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยรวมสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท

Share