คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.และผู้ตายเดินกระแทกไหล่จำเลย จำเลยต่อว่าจึงเกิดชกกันขึ้น มีผู้ห้ามจนเลิกกันไปแล้วผู้ตายเอาปืนจี้เพื่อนจำเลยจะไปส่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อ้างว่าเพื่อนจำเลยยิงปืนจำเลยจึงไปขอให้พี่สาวจำเลยมาช่วยเจรจา ป. ไม่ยอมและชกจำเลย ช. กับ ก. เข้าช่วย ป. จำเลยล้มลงจึงใช้ไม้ตี ช.1 ที แล้วจำเลยเห็นผู้ตายถือปืนเล็งมาทางจำเลย จำเลยจึงวิ่งหนีผู้ตายวิ่งไล่ตามและยิงจำเลย จำเลยรู้สึกเจ็บที่เท้าซ้ายและน่องซ้ายล้มลง หันไปดูเห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย 2 วา ถือปืนจ้องมาทางจำเลยจำเลยจึงยิงผู้ตาย 1 นัดถูกผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ นับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันชีวิตของตน การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นไม่มีทะเบียน3 กระบอกกับกระสุนปืน 3 นัดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมครแก่พฤติการณ์ ใช้อาวุธปืนยิงโดยใช่เหตุในหมู่บ้าน 1 นัด ใช้ไม้ท่อนเป็นอาวุธตีนายเชื่อม 1 ที เป็นเหตุให้นายเชื่อมได้รับอันตรายแก่กายและได้ใช้อาวุธปืนยิงนายถาวรถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 288, 295, 371, 376พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านทางสาธารณะ ฐานทำร้ายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย และฐานฆ่าผู้อื่น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในขณะเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดนั้น ไม่มีพยานโจทก์ผู้ใดเห็นว่าใครยิงใครก่อน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ที่ผู้ตายวิ่งไล่จำเลยประกอบกับบาดแผลของจำเลยที่ถูกยิงแล้ว น่าเชื่อตามคำเบิกความของจำเลยว่า เมื่อจำเลยวิ่งหนีผู้ตายมาถึงถนน ก็มีเสียงปืนดังมาทางด้านหลัง1 นัด จำเลยรู้สึกเจ็บที่น่องซ้ายและเท้าซ้ายล้มลงแล้วหันไปดู เห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย 2 วา ถือปืนจ้องมาทางจำเลย จำเลยจึงยิงไปที่ผู้ตาย1 นัด ทั้งฎีกาโจทก์เองก็รับว่าผู้ตายเป็นฝ่ายยิงจำเลยก่อน เพียงแต่โต้แย้งว่าผู้ตายยิงเพื่อจับจำเลยเท่านั้น แต่ข้อโต้แย้งของโจทก์ดังกล่าวฟังไม่ขึ้นเพราะไม่มีพฤติการณ์ใดที่พอจะแสดงให้เห็นว่าผู้ตายยิงจำเลยโดยเจตนาเท่านั้น ตรงกันข้ามได้ความว่าผู้ตายมากับนายเชื่อม เมื่อจำเลยตีศีรษะนายเชื่อมแล้ววิ่งหนีไป ผู้ตายก็วิ่งไล่ตามจำเลยไปแล้วใช้ปืนยิงจำเลยเห็นได้ว่ายิงเพราะโกรธที่จำเลยตีศีรษะนายเชื่อมพวกของผู้ตาย หาใช่ยิงเพื่อเจตนาจับกุมจำเลยไม่ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุจะอ้างว่าป้องกันตัวไม่ได้นั้น ก็เห็นว่านายประสิทธิ์ ผู้ตาย เดินกระแทกไหล่จำเลย จำเลยต่อว่าจึงเกิดชกต่อยกันขึ้น มีผู้เข้าห้ามจนเลิกกันไปแล้วผู้ตายเอาปืนจี้นายแสวง จำเลยจึงได้ไปขอให้นายรัตน์พี่สาวจำเลยช่วยเจรจา แต่นายประดิษฐ์ไม่ยอมและชกจำเลย นายเชื่อมกับนายเกษมเข้าช่วยนายประสิทธิ์ จำเลยล้มลงจึงใช้ไม้ตีนายเชื่อม 1 ที จำเลยเห็นผู้ตายถือปืนเล็งมาทางจำเลย จำเลยจึงวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งไล่ตามและยิงจำเลยนับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และเหตุการณ์ครั้งใหม่นี้จำเลยไม่ใช่เป็นผู้ก่อจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันชีวิตของตนและเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

พิพากษายืน

Share