คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2624/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่กรณีในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นความผิดอันยอมความกันได้หรือไม่ก็ตาม อาจตกลงประนีประนอมยอมความเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่งอันพึงมีพึงได้ตามสิทธิของตนได้ กฎหมายห้ามเฉพาะการตกลงประนีประนอมยอมความเพื่อระงับหรืองดการฟ้องคดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยบุกรุกขึ้นไปบนเรือนโจทก์ในเวลากลางคืนและกระทำอนาจารโจทก์ มีข้อความว่า จำเลยยอมเสียค่าทำขวัญให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่งภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ทำตาม ยอมให้ดำเนินคดีต่อไปนั้น เป็นเรื่องทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ในทางแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายที่เรียกร้องเพื่อระงับการฟ้องคดีอาญาซึ่งกฎหมายห้ามไว้แต่อย่างใด จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น กฎหมายมิได้บังคับว่าคู่กรณีจะต้องลงชื่อทั้งสองฝ่าย แม้จำเลยผู้เดียวลงชื่อรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้

ย่อยาว

โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 เดือนสิงหาคมพุทธศักราช 2514

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2512 เวลากลางคืน ขณะที่โจทก์นอนหลับอยู่ในเรือนของโจทก์ และเป็นเวลาที่สามีโจทก์ไม่อยู่บ้านจำเลยได้บังอาจปืนหน้าต่างเรือนของโจทก์แล้วเข้าไปในห้องนอนและจับต้องตัวโจทก์ โจทก์ตกใจตื่นและร้องขึ้น จำเลยได้หนีออกไปทางหน้าต่าง การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของโจทก์ในเวลาค่ำคืนและกระทำอนาจารต่อโจทก์ โจทก์จึงนำความไปแจ้งต่อนายทอง อินต๊ะสาร กำนันตำบลบิน นายทอง อินต๊ะสาร กำนันตำบลบินได้เรียกจำเลยสอบถาม จำเลยก็รับสารภาพตามข้อหา และจำเลยจะให้ค่าทำขวัญแก่โจทก์เป็นเงิน 2,000 บาทภายในวันที่ 15 กันยายน 2512 โจทก์ยอมตกลงตามที่จำเลยเสนอแล้วจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2512 ปรากฏตามสำเนาท้ายฟ้อง เมื่อครบกำหนดที่จะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยบิดพลิ้ว โจทก์ทวงถามก็ไม่ยอมชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินสองพันบาทตามสัญญาให้แก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกหรือละเมิดใด ๆ ต่อโจทก์ โจทก์กลั่นแกล้งใส่ความจำเลย พี่น้องของโจทก์ได้ร่วมกันบังคับขู่เข็ญจำเลยให้เขียนเอกสารท้ายฟ้องขึ้น มิฉะนั้นจะทำอันตรายจำเลยให้ถึงแก่ชีวิตและจะทำให้จำเลยสิ้นเนื้อประดาตัว เอกสารท้ายฟ้องไม่มีมูลหนี้ให้จำเลยต้องรับผิด และไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และมาตรา 851 เพราะสัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายลงชื่อเป็นหลักฐานในสัญญา โจทก์อ้างว่าเอกสารท้ายฟ้องเกิดขึ้นเพื่อระงับคดีอาญา จึงตกเป็นโมฆะ เพราะกระทำขึ้นโดยขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยบุกรุกขึ้นไปบนเรือนและเข้าหาโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาตามเอกสารศาลหมาย จ.1ด้วยความสมัครใจเพื่อระงับข้อพิพาทที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยบุกรุกเข้าหาโจทก์ จึงมีมูลหนี้ต่อกัน ฉะนั้นเอกสารศาลหมาย จ.1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเมื่อจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญานั้นแล้ว โจทก์ย่อมฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าทำขวัญให้แก่โจทก์ 2,000 บาท ซึ่งสัญญาไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 851 พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,000 บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 150 บาทแทนโจทก์ด้วย

จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า เอกสารสัญญายอมศาลหมาย จ.1 เกิดจากบุคคลที่ 3 นอกสำนวนคดีนี้ทำขึ้นเพื่อระงับคดีอาญาในข้อหาบุกรุกและกระทำอนาจารโจทก์ จำเลยบุกรุกในเวลากลางคืน ถือได้ว่าเป็นอาญาแผ่นดิน การจัดทำเอกสารดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ไม่ก่อให้เกิดมูลหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ และเอกสารดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะไม่มีโจทก์ลงชื่อเป็นคู่สัญญา

คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกินสองพันบาท ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาดังกล่าวแล้วข้างต้นและเห็นว่าการทำสัญญายอมให้ค่าเสียหายเพื่อมิให้ฟ้องคดีอาญาข้อหาว่าบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน เป็นคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวอันจะยอมความกันได้ สัญญาจึงตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ แต่สัญญายอมความตามเอกสารศาลหมาย จ.1 คู่กรณียังมุ่งหมายยอมชดใช้ความเสียหายฐานกระทำอนาจารต่อโจทก์ ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้รวมอยู่ด้วย การตกลงยอมใช้ค่าเสียหายเพื่อมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีในความผิดฐานกระทำอนาจาร ย่อมไม่เป็นโมฆะ แต่กรณีไม่อาจแยกส่วนที่ไม่สมบูรณ์หรือเป็นโมฆะออกจากส่วนที่สมบูรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 135 เอกสารสัญญายอมศาลหมาย จ.1 จึงตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไป พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมทั้งค่าทนายความทั้งสองศาลให้เป็นพับกันไป

โจทก์ฎีกา ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บังคับ คดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า

(1) หนังสือสัญญาตามเอกสารศาลหมาย จ.1 ที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์ เป็นสัญญาที่ฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ตกเป็นโมฆะกรรมหรือไม่

(2) เอกสารศาลหมาย จ.1 ดังกล่าว จำเลยผู้เดียวลงชื่อโดยไม่มีโจทก์ลงชื่อเป็นคู่สัญญา จะถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีลักษณะครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851 หรือไม่

คดีนี้ คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ซึ่งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาอย่างไรก็ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้ว จึงงดเว้นที่จะกล่าวซ้ำ ทั้งไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้เถียงว่าข้อความในหนังสือสัญญาตามเอกสารศาลหมาย จ.1 ไม่มีสภาพและลักษณะระงับข้อพิพาทด้วย จึงฟังได้ว่าเอกสารศาลหมาย จ.1 เป็นหนังสือสัญญาที่มีข้อความระงับข้อพิพาทเข้าลักษณะแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความ

สำหรับประเด็นข้อ 1 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า มูลเหตุในการทำหนังสือสัญญาตามเอกสารศาลหมาย จ.1 เนื่องจากจำเลยบุกรุกขึ้นไปบนเรือนในเวลากลางคืน และเข้าไปกระทำอนาจารโจทก์ ส่วนการทำสัญญาก็ฟังว่า จำเลยทำให้โดยสมัครใจ ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดินอันยอมความกันไม่ได้นั้น ผู้เสียหายได้แจ้งความต่อกำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองให้ดำเนินการแล้ว จึงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่จะต้องจัดการดำเนินคดีต่อไปตามกระบิลเมือง ส่วนความผิดฐานกระทำอนาจารอันเป็นความผิดอาญาอันยอมความกันได้ เมื่อได้ยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นต่อไปว่า ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาอันยอมความกันได้หรือมิได้ก็ตาม ก็หามีสิ่งใดขัดขวางหรือห้ามคู่กรณีมิให้ตกลงประนีประนอมยอมความเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่ง อันจะพึงมีพึงได้ตามสิทธิของแต่ละคนไม่ กฎหมายห้ามเฉพาะการตกลงประนีประนอมยอมความระงับหรืองดการฟ้องคดีอาญา มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น เพราะถือว่ามีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 คดีนี้จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารศาลหมาย จ.1 ให้แก่ผู้เสียหายไว้ดังนี้

“บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านบิน

วันที่ 25 สิงหาคม 2512

ข้าพเจ้ายินยอมรับเสียค่าทำขวัญให้แก่พี่เถิงด้วยเงิน 2,000 บาท โดยมิได้ถูกใครบังคับ หากแต่ข้าพเจ้ายินยอมด้วยใจสมัครของข้าพเจ้าเองและในขณะที่ข้าพเจ้ารับยินยอมนี้ ข้าพเจ้ายังไม่มีเงินให้ ข้าพเจ้าจะให้มีกำหนด 20 วัน นั้นคือ นับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2512 ถึง 15 กันยายน 2512 หากเกินกว่านี้หรือข้าพเจ้าไม่ทำตามข้าพเจ้ายอมให้ดำเนินคดีต่อไป ข้าพเจ้าได้ลงลายมือให้ไว้ต่อหน้าพยานเป็นสำคัญ

ลงลายมือชื่อ สมทบ จันทรวงศ์ ผู้ยินยอม

ลงลายมือชื่อ ท. อินต๊ะสาร พยาน

ลงลายมือชื่อ ศรีโหม้ อินต๊ะสาร พยาน”

ข้อความในสัญญาข้างบนเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ในทางแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายที่เรียกร้องเพื่อระงับหรืองดฟ้องคดีอาญาซึ่งกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด สัญญาตามเอกสารศาลหมาย จ.1 จึงสมบูรณ์ใช้บังคับต่อกันได้หาต้องห้ามหรือฝ่าฝืนบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยดังจำเลยต่อสู้นั้นไม่ จึงไม่ตกเป็นโมฆะกรรม

สำหรับประเด็นข้อ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851บัญญัติว่า “อันสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญแล้ว ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ดังนี้ กฎหมายหาได้บังคับว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่สมบูรณ์ใช้ได้นั้นคู่กรณีจะต้องลงชื่อในหนังสือสัญญานั้นทั้งสองคนก็หาไม่ เมื่อจำเลยผู้เดียวเป็นฝ่ายที่ลงชื่อยอมรับผิดต่อโจทก์ต้องตามบทกฎหมายที่บัญญัติ จำเลยย่อมเถียงไม่ได้ว่าสัญญาที่ทำกันไว้ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะเหตุนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,000 บาทเป็นค่าทำขวัญแก่โจทก์ตามสัญญาชอบแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาโดยกำหนดค่าทนายความ 100 บาทแก่โจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share