คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69-70/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5แยกกันอยู่โดยไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้ทำหนังสือหย่าขาดกัน ยังถือว่าเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย
สามีและภริยาน้อยอันชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มีสิทธิร้องขอให้นายทะเบียนบันทึกฐานะของภริยาได้ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 แต่ไม่มีสิทธิจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นภริยาหลวงย่อมขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสดังกล่าวได้

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน โดยชอบด้วยกฎหมายโดยสมรสกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ มีที่ดินอันเป็นสินสมรส ๔ แปลงโจทก์มีความประสงค์จะลงชื่อร่วมในโฉนด แต่จำเลยไม่ยอม ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินดังกล่าวร่วมกับจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยหย่าขาดกันแล้ว ก่อนหย่าขาดจำเลยได้นางศิริ (หรือสิริ) หิระรักษ์ เป็นภริยา และได้จดทะเบียนสมรส กันที่ดินตามฟ้องเป็นสินสมรส แต่เมื่อหย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยกับนางศิริต่างได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา๓๖ ปีเศษแล้ว
นางศิริ หิระรักษ์ ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมอ้างเหตุทำนองเดียวกันกับคำให้การจำเลย และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีขาดอายุความ
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ จำเลยทั้งสองจดทะเบียนสมรสกันในขณะที่โจทก์ยังเป็นภริยาจำเลยที่ ๑ อยู่ขอให้พิพากษาแสดงว่าการสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนหย่าขาดกัน
จำเลยที่ ๑ ให้การและขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือหย่าขาดกับโจทก์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ จำเลยที่ ๑ ได้อยู่กินร่วมกับจำเลยที่ ๒ฉันสามีภริยาเรื่อยมา และจดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรส
จำเลยที่ ๒ ให้การและขอเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ โดยสมรสกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐จดทะเบียนสมรสเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ และตัดฟ้องเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ หย่าขาดจากสามีภริยากันแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีฟังไม่ได้ว่าโจทก์หย่าขาดกับจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๒ เป็นภริยาน้อยอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองมีสิทธิร้องขอให้นายทะเบียนบันทึกฐานะของภริยาได้ตามมาตรา ๒๔แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. ๒๔๗๘ ว่าเป็นภริยาหลวงหรือภริยาน้อยของใคร แต่จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะจำเลยที่ ๑ ยังเป็นคู่สมรสของโจทก์ซึ่งเป็นภริยาหลวง การจดทะเบียนสมรสของจำเลยทั้งสองจึงเป็นโมฆะที่พิพาทเป็นสินสมรส โจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของร่วมได้ จำเลยทั้งสองจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ไม่ได้ เพราะโจทก์กับจำเลยที่ ๑ยังไม่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันทั้ง ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และให้ส่งชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในโฉนดพิพาททั้งสี่แปลง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยร่วมและจำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้แยกกันอยู่โดยไม่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากัน แต่เป็นการแยกกันภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๕ โดยมิได้ทำหนังสือหย่าขาดกัน โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๙๗, ๑๔๙๘ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ก็ยังคงเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายอยู่เช่นเดิม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในโฉนดพิพาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share