คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 อย่างเดียวกับที่ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองไว้ในคดีก่อน จึงเป็นคำฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173(1) ส่วนจำเลยที่ 1และที่ 2 โจทก์มิได้ฟ้องในคดีก่อนด้วยไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 315/2508และเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 513/2521 พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่เป็นฟ้องซ้อน พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่า คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 513/2521 ของศาลจังหวัดราชบุรี ศาลฎีกาได้ตรวจคำฟ้องดังกล่าวตามเอกสารหมาย ล.1 และคำร้องขอเพิ่มเติมลงวันที่8 มกราคม 2522 ตามเอกสารท้ายคำแถลงการณ์ปิดคดีของจำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้ว คดีนั้นโจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องสรุปความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท จำเลยที่ 3 วานใช้ให้จำเลยที่ 4 กับพวกบุกรุกเข้าไปในที่พิพาท ทำให้ต้นผลไม้และพืชล้มลุกของโจทก์ทั้งสองเสียหายก่อนบุกรุกจำเลยได้ยื่นขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่ดินที่โจทก์ครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณี ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2521ทางการได้ออกประทานบัตรที่ 11936/12206 ตามคำขอของจำเลยที่ 13/2507ทับที่ดินพิพาทที่โจทก์มีสิทธิครอบครองเป็นเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้ขับไล่จำเลยที่ 3 และที่ 4ให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหาย และให้เพิกถอนประทานบัตรที่ 11936/12206 ในส่วนที่ทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง คดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 และที่ 4 เท่านั้น มิได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องคดีนี้โจทก์บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 อย่างเดียวกับที่ได้ฟ้องไว้แล้วในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 513/2521 ของศาลจังหวัดราชบุรีคำฟ้องโจทก์คดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นคำฟ้องซ้อนกับคดีดังกล่าว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์มิได้ฟ้องไว้ในคดีดังกล่าวด้วยไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนและไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นคดีนี้ได้ ฯลฯ

“พิเคราะห์คำฟ้องโจทก์ คำให้การจำเลย และคำแถลงรับของคู่ความแล้ว โจทก์ยอมรับโดยปริยายว่าในการขออนุญาตทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทนั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการทหาร และตามฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 513/2521 ของศาลจังหวัดราชบุรี โจทก์ระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตที่ทางราชการทหารหวงห้ามไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหารโดยพระราชกฤษฎีกา ดังนี้ฟังได้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทตามที่โจทก์ที่ 1 ขออนุญาตทำเหมืองแร่ตามคำขอเลขที่ 19/2507 นั้น โจทก์ที่ 1 ได้บันทึกยอมรับว่ามีสิทธิในที่พิพาทตามคำขอเพียง 50 ไร่ และโจทก์ได้รับอนุญาตจากกองทัพบกให้ใช้ที่ดิน 50 ไร่นี้ได้ตามที่โจทก์ที่ 1 ร้องขอและทางราชการก็ได้ออกประทานบัตรให้แก่โจทก์ที่ 1 แล้ว ส่วนจำเลยที่ 3ได้รับอนุญาตจากกองทัพบกให้ใช้ที่ดินพิพาทเพื่อทำเหมืองแร่จำนวน 226 ไร่เศษดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกประทานบัตรที่ 11936/12206 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 โดยถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนและจะขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ดำเนินการออกประทานบัตรตามคำขอที่ 19/2507 ให้โจทก์ที่ 1 เต็มเนื้อที่ตามคำขอทั้งแปลงไม่ได้ เพราะเนื้อที่ดินตามคำขอดังกล่าวนั้นจำเลยที่ 1 ได้ออกประทานบัตรที่ 11936/12206 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3 โดยถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายไปแล้วประกอบทั้งโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการทหารให้ใช้ที่ดินพิพาทเมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกประทานบัตรเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 3โดยชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ และไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์”

พิพากษายืน

Share