คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภารจำยอมนั้นอาจเกิดจากการยินยอมให้ใช้ทางในเบื้องต้นก่อน ครั้นเมื่อได้เริ่มใช้ทางตามที่ตกลงกันนั้นแล้ว หากผู้ใช้ใช้โดยอาการที่ถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตลอดมา ผู้ใช้ทางอาจได้ภารจำยอมมาโดยอายุความได้
บิดาโจทก์ได้ใช้ทางเดินบนที่ดินของจำเลยโดยอาการที่ถือว่าตนมีสิทธิจะใช้ และได้ย้ายทางเดินดังกล่าวจากส่วนหนึ่งไปยังส่วนอื่นถึงสองครั้ง เนื่องจากจำเลยปลูกบ้านทับทางเดิม การย้ายทางของบิดาโจทก์จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยเองตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1392 เมื่อคดีปรากฏว่าบิดาโจทก์เข้าใช้สิทธิผ่านที่ดินของจำเลยติดต่อกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2492 ถึง พ.ศ.2504 จึงได้เปลี่ยนไปใช้ทางพิพาทตลอดมาจนบิดาโจทก์ตายเมื่อ พ.ศ.2509 แล้ว โจทก์ก็ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมารวมเป็นเวลากว่า 20 ปี ที่ดินของจำเลยย่อมตกอยู่ในภารจำยอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางบุบผา นางจันทะ และจำเลย เป็นบุตรของนายบุญ นางลา เมื่อนายบุญ นางลา ตาย มีมรดกที่ดินตกได้แก่บุตรหนึ่งแปลง ต่อมาบุตรทั้งสามได้แบ่งกันเป็นส่วนสัด เมื่อแบ่งกันแล้วนายบด นางบุบผา บิดามารดาโจทก์กับโจทก์ได้ร่วมกันถืออำนาจโดยทางปรปักษ์ใช้ที่ดินส่วนของจำเลยเป็นทางเดิน ทางเกวียนทางรถยนต์ โดยสงบโดยเปิดเผยโดยเจตนายึดถือเป็นทางเดินติดต่อสืบเนื่องกันมาประมาณ 20 ปีแล้ว ถือได้ว่าเป็นทางภารจำยอมก่อนนายบดตายนายบดได้แบ่งที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์และเด็กหญิงสมพิศโจทก์และเด็กหญิงสมพิศได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาจนบัดนี้ ต่อมาจำเลยปลูกสร้างและล้อมรั้วรุกทางพิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าทางเดินตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องเป็นทางภารจำยอม

จำเลยให้การว่า เมื่อตกลงแบ่งแยกที่ดินเป็นส่วนสัดแล้ว นายบดได้ขอทางเดินกว้าง 1 เมตร ผ่านที่ดินของจำเลย แต่นายบดมิได้ใช้ทางเป็นเวลา 11 ปีเศษแล้ว ภารจำยอม (ถ้ามี) ก็สิ้นไปแล้วเมื่อนายบดบิดาโจทก์ตาย โจทก์เข้าไปอยู่ในบ้านแทนบิดามารดาโจทก์คงใช้ทางเดิน 1 เมตร ตลอดมาจนกระทั่งจำเลยปลูกครัวและทำรั้วล้อมครัว โจทก์มิได้ทักท้วง โจทก์เคยขออนุญาตจำเลยถมทางเดินด้วยหิน จำเลยมิได้ปล่อยให้บิดาโจทก์และตัวโจทก์เดินในที่ดินส่วนอื่นของจำเลยฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทโดยวัดจากหลักหินแนวเขตหมาย ก.ข. ตามแผ่นที่ที่เจ้าพนักงานศาลทำ เข้ามาในที่ดินของจำเลยกว้าง 1 เมตร 50 เซนติเมตร ให้จำเลยจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยรื้อรั้วออกจากทางพิพาท

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินส่วนบิดามารดาโจทก์ไม่อาจเข้าออกถนนสุขเกษมได้ นางจันทะและจำเลยจึงได้ตกลงยินยอมให้บิดามารดาโจทก์ใช้ที่ดินของตนเป็นทางเข้าออกได้ ในเรื่องภารจำยอมนั้น อาจเกิดจากการยินยอมให้ใช้ทางในเบื้องต้นก่อนครั้นเมื่อได้เริ่มใช้ทางตามที่ตกลงกันแล้ว หากผู้ใช้ใช้โดยอาการที่ถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตลอดมา ผู้ใช้ทางก็อาจได้ภารจำยอมมาโดยอายุความได้พฤติการณ์แสดงว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2491 หรือ 2492 ตลอดมา นายบดบิดาโจทก์ได้ใช้ทางบนที่ดินของจำเลยโดยอาการที่ถือตนว่ามีสิทธิที่จะใช้ มิใช่ใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลยผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ การที่นายบดบิดาโจทก์ย้ายทางที่ใช้เข้าออกบนที่ดินจำเลยจากส่วนหนึ่งไปยังส่วนอื่น กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 แม้จะมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงว่าให้นับอายุความภารจำยอมต่อกันได้ ก็เห็นได้ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะให้นับอายุความในภารจำยอมเช่นในกรณีนี้ติดต่อกัน เพราะการที่นายบดต้องย้ายทางที่ใช้ก็เนื่องจากจำเลยปลูกบ้านทับทางเดิน การย้ายทางของนายบดจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยเองตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ดังกล่าว คดีปรากฏว่าบิดามารดาโจทก์เข้าใช้สิทธิผ่านที่ดินของจำเลยติดต่อกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ถึง พ.ศ. 2504 จึงได้เปลี่ยนไปใช้ทางพิพาทตลอดมาจนนายบดตายเมื่อ พ.ศ. 2509 และโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยจึงตกอยู่ในภารจำยอม

พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางพิพาทโดยวัดจากหลักหินเขตหมาย ก.ข. ตามแผนที่พิพาทเข้ามาในที่ดินของจำเลยกว้าง 3 เมตรให้จำเลยจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยรื้อรั้วและครัวออกจากทางพิพาทนอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share