แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ในเขตอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นท้องที่ที่จำเลยมีถิ่นที่อยู่ปกติยังไม่มีศาลเยาวชนและครอบครัว ทั้งแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดจันทบุรีซึ่งอยู่ในท้องที่ที่จำเลยกระทำความผิดก็ยังมิได้เปิดทำการ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นคือศาลจังหวัดจันทบุรีได้ และแม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดจันทบุรี จะได้เปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลจังหวัดจันทบุรี แต่ศาลจังหวัดจันทบุรีคงดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อมาอย่างคดีธรรมดา เท่ากับศาลจังหวัดจันทบุรีเห็นสมควรใช้ดุลพินิจไม่โอนคดีนี้ไปยังแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดจันทบุรีทั้งให้พิจารณาต่อไปอย่างคดีธรรมดาโดยไม่ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ. 2534 มาตรา 59 กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษา การอุทธรณ์ฎีกาจึงต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจพิพากษาคดีนี้อย่างคดีธรรมดาได้เช่นเดียวกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 6,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 20,650 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี (ที่ถูกต้องประกอบด้วยมาตรา 83) จำคุก 18 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 6,000 บาท และ 20,650 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 17 ปีเศษ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ในเขตอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นท้องที่ที่จำเลยมีถิ่นที่อยู่ปกติยังไม่มีศาลเยาวชนและครอบครัวทั้งแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดจันทบุรีซึ่งอยู่ในท้องที่ที่จำเลยกระทำความผิดก็ยังมิได้เปิดทำการ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นคือศาลจังหวัดจันทบุรีได้และแม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดจันทบุรี จะได้เปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลจังหวัดจันทบุรี แต่ศาลจังหวัดจันทบุรีคงดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อมาอย่างคดีธรรมดา เท่ากับศาลจังหวัดจันทบุรีเห็นสมควรใช้ดุลพินิจไม่โอนคดีนี้ไปยังแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลจังหวัดจันทบุรี ทั้งให้พิจารณาต่อไปอย่างคดีธรรมดาโดยไม่ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 59 กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษา การอุทธรณ์ฎีกาจึงต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมมีอำนาจพิพากษาคดีนี้อย่างคดีธรรมดาได้เช่นเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุในตอนแรกมีคนร้าย 2 คน ถืออาวุธปืนสั้นคนละกระบอกเข้ามาในขนำที่พัก คนร้ายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนจี้ศีรษะผู้เสียหายที่ 1 และบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสองนอนคว่ำหน้า แล้วร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองโดยตบและกระทืบต้นคอ หลังจากนั้นคนร้ายทั้งสองปลดเอาสร้อยคอทองคำจากผู้เสียหายที่ 2 ไปรวม 2 เส้น สำหรับจำเลยนี้เป็นคนร้ายที่เข้ามาภายหลัง จำเลยถือท่อนไม้ขนาดข้อมือยาวประมาณ 1 เมตร และใช้ท่อนไม้ดังกล่าวตีลำตัวผู้เสียหายที่ 1 ในช่วงนั้นพวกของจำเลยส่งอาวุธปืนให้จำเลยถือไว้คอยควบคุมผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยร่วมกับคนร้ายอีก 2 คน จับมือผู้เสียหายที่ 1 ไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือพร้อมกับล้วงเอาธนบัตรจำนวน 4,000 บาท จากกระเป๋าเสื้อ และปลดเอานาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ไปจากผู้เสียหายที่ 1 จำเลยกับพวกช่วยกันใช้สายไฟฟ้ามัดมือและเท้าผู้เสียหายทั้งสองแล้วขับรถยนต์กระบะของผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไปจึงฟังได้ว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1.
พิพากษายืน.